คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4022/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมตั้งข้อหาหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดข้อหาอื่นด้วย ก็เรียกได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดข้อหาหลังตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องข้อหาหลัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๑๓๘
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๔ นั้น หาได้หมายความว่า พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมตั้งข้อหาหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำจำเลยเป็นความผิดฐานอื่นด้วย เช่นในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา ๑๓๘ ด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดข้อหาที่สองตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ แล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาฐานนี้ด้วย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ แต่เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกและปรับ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share