คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4020/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นปัญหาสำคัญ จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยจะเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็นเรื่องที่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน โจทก์ไม่จำต้องบรรยายและอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91มาในฟ้อง ก็เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158
ประเด็นแห่งคดีมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ปัญหาที่ว่าการจับกุมจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคแรก
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 เพียงแต่ห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวนทำหรือจัดให้ทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการล่อลวง หรือขู่เข็ญ หรือให้สัญญากับผู้ต้องหาเพื่อจูงใจให้การอย่างใด ๆ ในเรื่องที่ต้องหานั้นเท่านั้น หากพนักงานสอบสวนทำการฝ่าฝืนก็มีผลเพียงว่าถ้อยคำที่ผู้ต้องหากล่าวนั้นใช้เป็นหลักฐานยันผู้ต้องหาในการพิจารณาไม่ได้ตามมาตรา 134 ไม่มีผลถึงกับทำให้การสอบสวนไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2537 เวลากลางวันจำเลยทั้งสี่กับพวกอีก1 คน ซึ่งเป็นเยาวชนร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1จำนวน 200 หลอด น้ำหนัก 193 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 162.1 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 วรรคสอง, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 83 ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง วางโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตลอดชีวิต จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 25 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก33 ปี 4 เดือน คำให้การของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 37 ปี 6 เดือนริบเฮโรอีน กระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงกระดาษ ถุงพลาสติก สำหรับหนังสือ 2 เล่ม ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงให้คืนแก่เจ้าของ

จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำผิดเพียงกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งไม่ได้ระบุมาตรา 90, 91ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไม่ชอบเห็นว่า ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นปัญหาสำคัญ จำเลยที่ 2 มีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ไม่ชอบ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243(1)ประกอบมาตรา 247 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยทั้งสี่กับพวกได้จำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่สายลับจึงเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยที่ 2 เข้าใจได้ดีแล้ว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 จะเป็นเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดด้วยกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็นเรื่องที่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาลงโทษจำเลยที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนโจทก์ไม่จำต้องบรรยายและอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในฟ้อง ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นจำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ไม่ชอบเพราะไม่แจ้งข้อหาและการสอบสวนไม่ชอบ เพราะจูงใจให้รับสารภาพและไม่ทำแผนที่เกิดเหตุศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ไม่ชอบเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีนี้มีว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ฉะนั้นปัญหาที่ว่าการจับกุมจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ชอบแล้ว ส่วนการจูงใจให้จำเลยที่ 2 รับสารภาพนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 เพียงแต่ห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวนทำหรือจัดให้ทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการล่อลวง หรือขู่เข็ญ หรือให้สัญญากับผู้ต้องหาเพื่อจูงใจให้ให้การอย่างใด ๆ ในเรื่องที่ต้องหานั้นเท่านั้น หากพนักงานสอบสวนทำการฝ่าฝืนกฎหมายมาตราดังกล่าวก็มีผลเพียงว่าถ้อยคำที่ผู้ต้องหากล่าวนั้นใช่เป็นหลักฐานยันผู้ต้องหาในการพิจารณาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 ไม่มีผลถึงกับทำให้การสอบสวนไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 แต่อย่างใด”

พิพากษายืน

Share