แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้จำเลยและได้มอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาย่อมถือได้ว่ามีการส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยแล้วจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวแม้ต่อมาจะมีการทำสัญญาเพิ่มราคาที่ดิน แต่จำเลยไม่ได้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายถึงวันฟ้องเกินกว่า 1ปี โจทก์จึงหมดสิทธิในที่พิพาท
การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญาวางเงินมัดจำตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเกิดจากการข่มขู่เป็นโมฆียะ การที่โจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับก่อนสัญญาวางเงินมัดจำเป็นโมฆียะและสามีโจทก์บอกล้างแล้วเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า เมื่อวันที่ 7มิถุนายน 2525 จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา 88,000 บาท วางมัดจำ 40,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระเงิน โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์พร้อมทั้งใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2524 จำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์ โจทก์ได้ส่งมอบที่ดินให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญา ต่อมาโจทก์ต้องการเอาที่ดินคืนจึงข่มขู่หลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญาวางเงินมัดจำฉบับวันที่ 7 มิถุนายน 2525โจทก์ขาดสิทธิครอบครองที่พิพาทแล้ว สัญญาวางเงินมัดจำไม่มีผลบังคับคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2524 เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และโจทก์ได้มอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญา หลังจากนั้นจำเลยก็เข้าปลูกพืชผลและที่อยู่อาศัยในที่พิพาทด้วย ย่อมถือได้ว่ามีการส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นต้นมา และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองคืนให้โจทก์แต่อย่างใดแม้จะมีการทำสัญญามัดจำกันอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 7 มิถุนายน 2525 โดยเพิ่มราคาขึ้นจากเดิม ก็เป็นแต่ทำสัญญาเพิ่มเงินแต่จำเลยไม่ได้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ ดังนั้นสัญญาฉบับหลังจึงเป็นเพียงแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มราคาที่พิพาทเท่านั้น ซึ่งโจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องราคาที่ดินที่ค้างชำระอย่างใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ส่วนสิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ และจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนนับแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิในที่พิพาท
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าสามีโจทก์ไปเรียกทวงให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมมิใช่ไปเรียกทวงให้ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินจึงไม่ถือว่าเป็นการให้สัตยาบันก็ดี และจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสามีโจทก์ได้เรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามโมฆียะกรรมจึงเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็นก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์หาได้ตั้งประเด็นว่าการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆียะกรรมและสามีโจทก์ได้บอกล้างแล้วไม่ การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญามัดจำ ฉบับลงวันที่ 7 มิถุนายน 2525 ที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องและจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญามัดจำดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะการข่มขู่ของโจทก์จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย สำหรับสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2524 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นโมฆียะกรรมและสามีโจทก์ได้บอกล้างแล้ว โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องเลย จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้อง และในประเด็นดังกล่าวจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้จึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายนอกประเด็นแห่งคดีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.