คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4001/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธนาคารจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอาชีพรับฝากเงินจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ผู้ฝากเงินให้ละเอียดรอบคอบ เมื่อเปรียบเทียบลายมือโจทก์ในใบถอนเงินฝากกับลายมือโจทก์ในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อผู้ฝากและสมุดคู่ฝากแล้ว เห็นได้ว่าลักษณะการเขียนและลายเส้นลายหนาแตกต่างกัน เช่นตัว “ย” เป็นต้น เมื่อปรากฎด้วยว่าลายมือในใบถอนเงินฝากก็มิใช่เป็นของโจทก์ทั้งหมด จึงเป็นสิ่งผิดปกติ เพราะหากโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเองก็น่าจะต้องกรอกข้อความทั้งหมดด้วยตนเอง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงควรจะต้องสอบถามให้ได้ความว่าผู้ใดเป็นผู้กรอกข้อความร่วมกับผู้ถอนหรือขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนหรือใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อให้ลายละเอียดรอบคอบมากขึ้น แต่ปรากฎว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ตรวจลายมือชื่อโจทก์โดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งผู้ตรวจในภาวะเช่นจำเลยที่ 4 จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 4 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เพียงแต่ทำสมุดคู่ฝากหายไปเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เพราะมีผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินและนำไปถอนเงินจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้ผู้ปลอมไปโดยประมาทเลินเล่อโดยโจทก์ไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วย ดังนี้เหตุที่โจทก์ทำสมุดหาย จึงไม่ใช่ผลโดยตรงที่ทำให้เกิดเหตุในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีส่วนร่วมในความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยทั้งสี่ให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต เพราะโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเอง และเป็นความผิดของโจทก์เองที่ทำสมุดหาย ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ และโจทก์เรียกค่าเสียหายได้เพียงใด ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นในการปลอมใบถอนเงินฝาก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์มีสำนักงานสาขาดำเนินกิจการอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศรวมทั้งสาขาพิษณุโลก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1ประจำสาขาพิษณุโลก โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 3เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงิน และจำเลยที่ 4 เป็นพนักงานการเงินเมื่อต้นปี 2535 โจทก์เปิดบัญชีฝากเงินแบบออมทรัพย์กับจำเลยที่ 1 สาขาพิษณุโลก บัญชีเลขที่ 601-1-1-64601-8 โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจถอนเงินจากบัญชีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2535 โจทก์ไปถอนเงินจากจำเลยที่ 1แล้วลืมสมุดคู่ฝากทิ้งไว้ที่สาขาดังกล่าว ต่อมาวันที่ 28กรกฎาคม 2535 มีผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ถอนเงินจากบัญชีโจทก์200,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังและไม่ตรวจสอบลายมือชื่อเจ้าของบัญชีในใบถอนเงินเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้ ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวซึ่งโจทก์สามารถนำไปลงทุนในกิจการธุรกิจส่วนตัวของโจทก์ทำให้มีรายได้สูงขึ้นไม่น้อยกว่า 15 เปอร์เซนต์ โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 เดือนเป็นเงิน 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 205,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปีของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า วันที่ 28 กรกฎาคม 2535 โจทก์เป็นผู้นำสมุดคู่ฝากเงินมาถอนเงินจำนวน 200,000 บาทด้วยตนเอง จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 กระทำการเกี่ยวกับการถอนเงินด้วยความสุจริต มีความระมัดระวังครบถ้วนไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่ประการใด และได้ทำการตรวจสอบลายมือชื่อโจทก์ในใบคำขอถอนเงินฝากทั้งในช่องผู้รับเงินและเจ้าของบัญชีตามระเบียบแล้ว ทั้งเห็นว่าโจทก์เป็นผู้มาเบิกเงินด้วยตนเองไม่ได้มอบฉันทะให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาเบิกแทน จึงจ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์ไป จำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ และเป็นความผิดของโจทก์เองที่ทำสมุดคู่ฝากเงินสูญหายโดยไม่ใช้ความระมัดระวังเก็บดูแลรักษาป้องกันมิให้ผู้อื่นนำไปใช้เป็นหลักฐานถอนเงินจากจำเลยที่ 1ความเสียหายเกิดจากการกระทำผิดของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่โจทก์200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวคำนวณถึงวันฟ้องให้โจทก์ไม่เกิน 5,000 บาท ตามที่โจทก์ขอ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอาชีพรับฝากเงินจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ผู้ฝากเงินให้ละเอียดรอบคอบซึ่งเมื่อเปรียบเทียบลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินฝากเอกสารหมาย จ.26 กับลายมือชื่อโจทก์ในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อผู้ฝากเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10และสมุดคู่ฝากเอกสารหมาย ล.4 หน้าสุดท้ายแล้วก็เห็นได้ว่าลักษณะการเขียนและลายเส้นลายหนาแตกต่างกันเช่นตัว “ย”เป็นต้น จำเลยที่ 2 เองก็เบิกความรับว่าลายมือในเอกสารหมายจ.26 ไม่ใช่ของโจทก์ทั้งหมด ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นสิ่งผิดปกติเพราะหากโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเองก็น่าจะต้องกรอกข้อความทั้งหมดด้วยตนเอง จำเลยที่ 4 จึงควรจะต้องสอบถามให้ได้ความว่าผู้ใดเป็นผู้กรอกข้อความร่วมกับผู้ถอนหรือขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนหรือใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น แต่ปรากฎว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ตรวจลายมือชื่อโจทก์โดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งผู้ตรวจในภาวะเช่นจำเลยที่ 4จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 4 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อไปว่าโจทก์มีส่วนในการประมาทเลินเล่อด้วย เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ทำสมุดคู่ฝากหายไปเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เพราะมีผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินและนำใบถอนเงินจากจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้ผู้ปลอมไปโดยประมาทเลินเล่อดังวินิจฉัยข้างต้นโดยโจทก์ไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยเหตุที่โจทก์ทำสมุดหาย จึงไม่ใช่ผลโดยตรงที่ทำให้เกิดเหตุในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีส่วนร่วมในความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วย
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จากพฤติการณ์ของโจทก์ แสดงว่าโจทก์เป็นผู้นำสมุดคู่ฝากมาเบิกเงินเอง ซึ่งหมายความว่าโจทก์ใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตเท่ากับว่าโจทก์ไม่ได้เสียหายไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลชั้นต้นภาค 2 จะวินิจฉัยให้ปรากฎว่าจำเลยทั้งสี่ให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต เพราะโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเองเป็นและเป็นความผิดของโจทก์เองที่ทำสมุดหาย ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ และโจทก์เรียกค่าเสียหายได้เพียงใด จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นในการปลอมใบถอนเอกสารหมาย จ.26 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share