คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4001/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้ามรดกทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากผู้อื่น จดทะเบียนการเช่ามีกำหนด 25 ปี เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของเจ้ามรดกได้ไปขอโอนชื่อผู้เช่าจากเจ้ามรดกเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 โดยมีข้อสัญญาเช่นเดิมและเมื่อหมดอายุสัญญาเช่าแล้วผู้เช่ามีสิทธิต่อสัญญาเช่าใหม่ต่อไปได้ การที่จำเลยที่ 1เช่าตึกแถวพิพาทจึงเป็นการสืบสิทธิของเจ้ามรดกผู้เช่าเดิมนั่นเอง เมื่อจำเลยที่ 1ขอโอนชื่อดังกล่าวแล้วได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นการขายสิทธิให้จำเลยที่ 2 แสดงว่าสิทธิการเช่าดังกล่าวมีราคาและถือเอาได้จึงเป็นทรัพย์สินและทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทที่จะแบ่งปันกันได้ เพื่อความสะดวกในการแบ่งมรดกสมควรตีราคาเป็นตัวเงินแล้วจึงแบ่งกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนางเหลี่ยงยินหรือหม่าซึ่งเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางยินดี แซ่ลี้ จำเลยที่ 1เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางยินดี โดยไม่มีบุตรด้วยกันนางยินดีถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2513 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ นางยินดีมีทรัพย์สินคือสิทธิการเช่าตึกแถวรวม3 ห้อง กับกิจการค้าและสินค้าในร้าน ‘ยินดีพานิช’ รวมราคาประมาณ 2,000,000 บาท ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ครอบครองและดำเนินกิจการค้าต่อเนื่องกันมาหลังจากนางยินดีถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 จะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินกึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสคิดเป็นเงิน 1,000,000 บาทส่วนที่เหลืออีก 1,000,000 บาท ตกเป็นมรดกของนางยินดี ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 500,000 บาท ในฐานะผู้รับมรดกแทนที่นางเหลี่ยงยินซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยที่ 1ได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวจากชื่อนางยินดีเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 และได้โอนสิทธิการเช่ากับกิจการค้าและสินค้าในร้านทั้งหมดให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์ ถ้าการแบ่งไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำทรัพย์สินทั้งหมดออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางยินดีมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 คน ถ้าโจทก์จะมีส่วนได้รับมรดกแล้ว ต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 ในฐานะคู่สมรสกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกได้แก่นางเหลี่ยงยินมารดาโจทก์และน้องอีก 2 คน และโจทก์มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกแทนที่เพียง 1 ใน 5 ของมรดกที่นางเหลี่ยงยินจะได้รับสรุปแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกเพียง 1 ใน 30 ส่วนเท่านั้น นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองครอบครองทรัพย์มรดกตลอดมาและมิได้ครอบครองแทนโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อนางยินดีถึงแก่กรรมสิทธิการเช่าย่อมระงับจึงไม่มีทรัพย์มรดกในส่วนนี้ของผู้ตาย มูลค่าสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทมีค่าอย่างมากไม่เกิน 20,000 บาท และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องทั้งสี่ร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม อ้างว่าเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ โจทก์และผู้ร้องทั้งสี่มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่นางเหลี่ยงยินในจำนวนเงิน 500,000 บาทขอให้แบ่งมรดกให้ผู้ร้องทั้งสี่ตามส่วน ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอด โดยเรียกโจทก์เดิมว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกผู้ร้องสอดที่ 1 ถึงที่ 4 ว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันแบ่งมรดกของนางยินดี แซ่ลี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์สินในร้านยินดีพานิชโดยให้ชำระเป็นเงิน 15,000 บาท ให้โจทก์ที่ 1 พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอของโจทก์ที่ 1 นอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 65,000 บาทให้แก่โจทก์ (ที่ 1) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ที่ 1 ฟ้องแบ่งมรดกของนางยินดี แซ่ลี้ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข2 รวม 2 รายการคือ 1) สิทธิการเช่าตึกแถว 3 ห้อง และ 2) กิจการค้ากับทรัพย์สินในร้านค้าของเจ้ามรดก ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งมรดกเฉพาะทรัพย์สินในร้านค้าของเจ้ามรดกให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 15,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์คัดค้าน ส่วนโจทก์ที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะขอให้แบ่งสิทธิการเช่าตึกแถว 3 ห้อง ให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามฟ้อง มิได้อุทธรณ์เกี่ยวกับกิจการค้าและทรัพย์สินในร้านด้วย ฉะนั้น ส่วนแบ่งมรดกที่โจทก์ที่ 1 จะได้รับเกี่ยวกับกิจการค้าและทรัพย์สินในร้านค้าจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับมรดกในส่วนนี้เป็นเงิน 15,000 บาท คดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเฉพาะทรัพย์อันดับที่ 1 ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องหมายเลข 2 คือ สิทธิการเช่าตึกแถว 3 ห้องว่า เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่โจทก์ที่ 1 จะฟ้องขอแบ่งได้หรือไม่เพียงใดข้อเท็จจริงได้ความว่านางยินดีเจ้ามรดกทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาททั้งสามห้องจากผู้ก่อสร้างตึกแถวดังกล่าวให้เทศบาลเมืองนครสวรรค์โดยเสียค่าเช่าห้องละ 150 บาท และ 200 บาท จดทะเบียนการเช่ามีกำหนดห้องละ 25 ปีเมื่อนางยินดีผู้เช่าเดิมถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 สามีของนางยินดีได้ไปขอโอนชื่อผู้เช่าจากนางยินดีเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าแทนโดยมีข้อสัญญาเช่นเดียวกับที่นางยินดีทำไว้เดิม ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 เช่าตึกแถวพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการสืบสิทธิของนางยินดีผู้เช่าเดิมนั่นเอง ทั้งข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าเมื่อหมดอายุสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่ามีสิทธิต่อสัญญาเช่าใหม่ต่อไปได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ขอโอนชื่อจากนางยินดีเป็นชื่อของตนเป็นผู้เช่าแล้วได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาททั้งสามห้องให้แก่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นการขายสิทธิให้จำเลยที่ 2 ดังนี้ จะเห็นได้ว่าสิทธิการเช่าตึกพิพาทดังกล่าวมีราคาและถือเอาได้ จึงเป็นทรัพย์สินและเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทที่จะแบ่งปันกันได้ตามกฎหมายลักษณะมรดกเพื่อความสะดวกในการแบ่งมรดกในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรตีราคาเป็นตัวเงินแล้วจึงแบ่งกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364และศาลฎีกาตีราคาสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทราคา 1,200,000 บาทจึงต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งก่อนเป็นเงิน600,000 บาท ปรากฏว่านางยินดีผู้ตายไม่มีบุตร และบิดามารดาถึงแก่กรรมไปก่อนแล้วมรดกของนางยินดีจึงตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกนางยินดีอีกกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 300,000 บาทส่วนที่เหลืออีก 300,000 บาท ตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของนางยินดีซึ่งมีอยู่ 2 คน คือมารดาของโจทก์ที่ 1 กับนายแก้ว มารดาโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมก่อนนางยินดี มีบุตร 5 คน คือโจทก์ที่ 1ถึงที่ 5 โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับมรดกส่วนนี้เป็นเงิน30,000 บาท รวมเป็นมรดกที่โจทก์ที่ 1 ได้รับทั้งสิ้นคิดเป็นเงิน 45,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 2 รับโอนมรดกส่วนที่โจทก์ที่ 1 จะได้รับจากจำเลยที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วว่าผู้โอนไม่มีสิทธิจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน45,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share