คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้งจะอุทธรณ์ฎีกาได้เพียงใดหรือไม่ต้องแยกพิจารณาคนและส่วนเมื่อฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งต่างมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1489/2528ของศาลชั้นต้นพยานหลักฐานของจำเลยในคดีดังกล่าวรับฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโจทก์มีพยานเอกสารและพยานบุคคลหลายปากยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์นั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา ที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นเขตหวงห้ามสำหรับทิ้งขยะ ต่อมาเมื่อปี 2516 ทางราชการประกาศยกเลิกให้ราษฎรถือกรรมสิทธิ์ได้เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของนายชม สัมพันธ์ ต่อมาเมื่อปี 2510 โจทก์และนายชำนาญ บุญสาคร สามีโจทก์ได้ซื้อที่ดินมาจากนายชมโจทก์ครอบครองโดยปลูกบ้านและไม้โกงกางเป็นแนวเขตทั้งด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ต่อมานายชำนาญเลิกเป็นสามีภริยากันกับโจทก์ และได้ออกจากที่ดินไป โจทก์ครอบครองที่ดินต่อมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จนเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2533จำเลยได้ทำการรังวัดที่ดินพิพาททั้งแปลง โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยและจำเลยได้ตัดไม้โกงกางในที่ดินของโจทก์ประมาณ 30 ต้น โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท ในการดำเนินคดีนี้โจทก์ได้รับความยินยอมจากสามีแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้องแต่ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ได้เคยมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดว่าเป็นที่ดินของจำเลย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินควร ต้นโกงกางมีราคาต้นละไม่เกิน 30บาท จำเลยเคยมีสามีชื่อนายนิคม เอเติงเป็นบุตรของนางแอ๊ด เอเดิง โจทก์เป็นบริวารของนางแอ๊ดและโจทก์ได้อาศัยสิทธิของนางแอ๊ด ปลูกสร้างครัวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย ระหว่างที่จำเลยจะบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องเป็นคดีนี้และโจทก์ไม่ยอมรื้อครัวออกจากที่ดินของจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจำเลยรื้อถอนอาคารออกไป ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวว่าที่ดินเป็นของจำเลย ให้โจทก์รื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกไป และให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นรายเดือนเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจำเลยจะรื้อครัวออกไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โจทก์ครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์มิใช่เป็นบริวารของนางแอ๊ด เอเดิง ครัวของโจทก์ปลูกพร้อมกับบ้านซึ่งปลูกมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยเสียหายไม่เกินกว่าเดือนละ 200 บาท แต่ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โจทก์จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 ภายในเส้นสีเขียวเป็นของจำเลย ให้โจทก์รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไป และให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นรายเดือน เดือนละ 200 บาท นับแต่วันที่ 18มิถุนายน 2533 จนกว่าโจทก์จะรื้อถอนครัวออกไปยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีที่โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้งจะอุทธรณ์ฎีกาได้เพียงใดหรือไม่ต้องแยกพิจารณาคนละส่วนเมื่อฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งต่างมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1489/2528 ของศาลชั้นต้น พยานหลักฐานของจำเลยในคดีดังกล่าวรับฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์มีพยานเอกสารและพยานบุคคลหลายปากยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์นั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share