คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยทั้งสามได้ทำไว้กับโจทก์ จำเลยต่อสู้มีประเด็นเพียงว่าเหตุที่จำเลยทั้งสามยอมตกลงทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ไว้นั้น เป็นเพราะจำเลยทั้งสามหลงสำคัญผิดในคุณสมบัติของโจทก์ โดยจำเลยเข้าใจว่าโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกและโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในกองมรดกนี้ด้วย เมื่อจำเลยทราบความจริงว่าโจทก์ไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกจำเลยจึงได้บอกล้างหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ต่อโจทก์หนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์นำมาฟ้องจึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ดังนี้ ถึงแม้จะเป็นความจริงตามที่จำเลยอ้าง ก็เป็นเพียงความสำคัญผิดถึงฐานะทางกฎหมายของโจทก์ หาใช่ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล ซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสารสำคัญที่ทำให้สัญญาประนีประนอมในเรื่องทรัพย์มรดกเสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 120, 138 ไม่ รูปคดีจึงไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นดังกล่าวนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเชื่อม เที่ยงถาวร ได้เสียอยู่กินฉันสามีภริยากันมาประมาณ ๓๐ ปี นายเชื่อม เที่ยงถาวรมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสองแปลงตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เมื่อโจทก์ได้เสียเป็นสามีภริยากับนายเชื่อมได้ประมาณ ๒ ปี นายเชื่อมได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ทั้งสองแปลงดังกล่าวให้โจทก์ โดยมอบโฉนดที่ดินให้โจทก์ยึดถือไว้ โจทก์ได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า ๑๐ ปีจึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๑๓ นายเชื่อมได้ตายลง โจทก์ได้ไปขอรับมรดกที่ดินทั้งสองแปลงต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี จำเลยทั้งสามก็ไปติดต่อขอรับมรดกรายนี้ด้วย โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นญาติกับนายเชื่อม และเพื่อระงับข้อพิพาท โจทก์จึงยอมสละที่ดินบางส่วนให้จำเลยบ้าง โดยโจทก์กับจำเลยทั้งสามคนได้ตกลงทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันแต่จำเลยหาได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โดยจำเลยทั้งสามกลับไปยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีเพื่อขอรับมรดกที่ดินของนายเชื่อมทั้งหมดแต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ได้เสนอหลักฐานสัญญาประนีประนอมยอมความต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่รับไว้พิจารณา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการแสดงเจตนาไม่สุจริตและโต้แย้งสิทธิโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้อง ให้สั่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีถอนชื่อนายเชื่อมผู้ตายออกจากโฉนดทั้งสองฉบับแล้วลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามส่วน
จำเลยทั้งสามร่วมกันให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริงโจทก์มิใช่ภริยานายเชื่อม โจทก์เพิ่งมาอยู่กินกับนายเชื่อมเมื่อประมาณ๑๖ – ๑๗ ปีมานี้ และมิได้จดทะเบียนสมรส และมิได้หย่าร้างกับสามีเดิมจำเลยทั้งสามเป็นหลานของนายเชื่อม นายเชื่อมถึงแก่กรรมลงโดยไม่มีบุตรและภริยาตลอดจนบิดามารดา ทั้งไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใดทรัพย์สินทั้งหมดจึงตกแก่พี่ร่วมบิดามารดา แต่พี่ร่วมบิดามารดาได้ตายไปก่อนนายเชื่อม จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นบุตรจึงเป็นผู้รับมรดกแทนที่ตามกฎหมายโจทก์เป็นเพียงนางบำเรอ หามีสิทธิรับมรดกไม่ นายเชื่อมไม่เคยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือดังกล่าวท้ายฟ้องโจทก์จริงแต่หนังสือดังกล่าวเป็นโมฆะหามีผลบังคับประการใดไม่ เพราะขณะที่ทำหนังสือฉบับนี้จำเลยทั้งสามหลงสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นภริยาของนายเชื่อมหากจำเลยทั้งสามไม่สำคัญผิดในคุณสมบัติของโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสามจะไม่ยอมทำหนังสือฉบับนี้ขึ้นเลย เพราะเมื่อโจทก์ไม่ใช่ภริยาผู้มีสิทธิรับมรดกหรือส่วนแบ่ง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นคู่กรณีมีข้อพิพาทกับจำเลยเมื่อจำเลยทั้งสามทราบความจริงว่าโจทก์ไม่ใช่ภริยานายเชื่อม จำเลยจึงได้บอกล้างหนังสือฉบับดังกล่าวต่อโจทก์ หนังสือสัญญาฉบับท้ายฟ้องจึงตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น หา-มีผลบังคับแต่ประการใดไม่จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอรับมรดกของนายเชื่อมแต่ฝ่ายเดียว อันเป็นสิทธิที่จำเลยมีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ ก็ต้องรับผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ความสำคัญผิดที่จำเลยอ้างไม่ใช่ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล ซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสารสำคัญตามความหมายในมาตรา ๑๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะจำเลยยอมรับแล้วว่าโจทก์เป็นภริยาของนายเชื่อม เป็นแต่ว่ามิได้จดทะเบียนสมรสกันเท่านั้นการที่โจทก์กับนายเชื่อมอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ย่อมมีเจตนาเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ได้มาร่วมกันจึงถือว่าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทร่วมกันคนละครึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งดังที่จำเลยเข้าใจ พิพากษาให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ตามส่วน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามประเด็นที่กำหนดไว้ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยทั้งสามได้ให้การรับร่วมกันว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจริง จำเลยยกประเด็นขึ้นต่อสู้โจทก์เพียงประเด็นเดียวว่า เหตุที่จำเลยทั้งสามยอมตกลงทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ไว้นั้น เป็นเพราะจำเลยทั้งสามหลงสำคัญผิดในคุณสมบัติของโจทก์ โดยจำเลยเข้าใจว่าโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายเชื่อม จำเลยจึงได้บอกล้างหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ต่อโจทก์ หนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์นำมาฟ้องจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นภริยานายเชื่อมเจ้ามรดกโดยอยู่กินด้วยกันมา ๑๖ – ๑๗ ปีเมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์นั้น จำเลยทราบความจริงข้อนี้จำเลยอ้างเป็นข้อต่อสู้เพียงว่า ขณะทำสัญญานั้นจำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนสมรสถึงแม้จะเป็นความจริงตามที่จำเลยอ้าง ก็เป็นเพียงความสำคัญผิดถึงฐานะทางกฎหมายของโจทก์ หาใช่ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสารสำคัญที่จะทำให้สัญญาประนีประนอมในเรื่องทรัพย์มรดกเสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๐, ๑๓๘ ไม่ ฉะนั้น รูปคดีจึงไม่จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นดังกล่าวนี้ และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่นซึ่งจะทำให้หนังสือสัญญาดังกล่าวไม่สมบูรณ์แล้วจำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share