คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองร่วมวงเสพสุรากันจำเลยที่ 2 พูดว่าจะทำร้ายผู้เสียหายจำเลยที่ 2 ไปหาผู้เสียหายจำเลยที่ 1 ก็ตามไปด้วย และยืนอยู่ด้วยเป็นการสมทบกำลังให้จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดตรงเข้าจะแทงผู้เสียหายและวิ่งไล่แทงผู้เสียหายซึ่งยืนห่างในระยะ 1 วา สามารถจะทำร้ายได้หากผู้เสียหายโดดหนีและวิ่งขึ้นเรือนได้ทัน จึงแทงไม่ได้สมความตั้งใจเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกาย จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ไปด้วยถือว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดร่วมกัน
การกระทำที่ก่อให้เกิดความกลัวหรือตกใจรวมอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายแล้วและเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่า จึงลงโทษฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นบทหนักกว่าแต่บทเดียว

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า นายเง้าจำเลยที่ 1 เป็นคนรถประจำคันที่นายศิริจำเลยที่ 2 เป็นคนขับ ตอนเช้าวันเกิดเหตุเรื่องนี้ คนรถของบริษัทเดียวกับรถที่นายศิริชัยถูกคนขับรถสองแถวแทงผู้เสียหายเป็นคนประจำรถสองแถวคันนั้น ครั้นตอนเย็น นายเง้า กับนายศิริจำเลยได้ร่วมวงเสพสุรากันอยู่ที่รถของตน นายศิริจำเลยได้พูดขึ้นในวงเสพสุราว่าจะทำร้ายนายมั่นผู้เสียหาย เมื่อนายศิริ ไปหานายมั่นที่เรือนนายไม้ นายเง้าจำเลยก็ตามไปด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า”ตามพฤติการณ์นายเง้าย่อมรู้อยู่ว่านายศิริจำเลยจะไปทำร้ายนายมั่นผู้เสียหายตามที่พูดไว้ การที่นายเง้าจำเลยตามนายศิริไปที่เรือนนายไม้และยืนอยู่ด้วยในขณะที่เรียกนายมั่นลงมาจากเรือนนายไม้ แสดงให้เห็นในตัวว่าเป็นการสมทบกำลังให้แก่ฝ่ายนายศิริ ยิ่งกว่านั้นเมื่อนายศิริถือมีดตรงเข้าไปจะแทงนายมั่นฝ่ายปรปักษ์และวิ่งไล่แทงนายเง้าจำเลยยังวิ่งไล่ไปด้วย ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าร่วมกับนายศิริในการที่จะแทงทำร้ายนายมั่น ไม่เช่นนั้นจะวิ่งไล่ตามนายมั่นผู้หนีภัยไปด้วยเหตุใด ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่ฟังว่านายเง้าจำเลยได้ร่วมกับนายศิริในการกระทำผิดนี้ด้วย การกระทำที่นายเง้าจำเลยร่วมกับนายศิริจำเลยนั้น นายศิริถือมีดตรงเข้าจะแทงนายมั่นซึ่งยืนห่างในระยะ 1 วา สามารถที่จะทำร้ายได้ หากนายมั่นโดดหนีและวิ่งหนีขึ้นเรือนได้ทัน จึงแทงนายมั่นไม่ได้สมความตั้งใจการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายนายมั่นตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่พอฟังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญอันเป็นความผิดลหุโทษนั้นศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องในคำวินิจฉัย แม้จะไม่ได้ตัวนายมั่นผู้เสียหายมาสืบว่า เกิดความกลัวหรือตกใจในการกระทำของจำเลยหรือไม่ก็ดีกิริยาอาการและคำพูดที่นายมั่นผู้เสียหายแสดงออกโดยพูดว่า ผมไม่สู้และวิ่งหนีไปในเมื่อนายศิริถือมีดตรงเข้ามาจะแทง แสดงว่านายมั่นกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำที่ก่อให้เกิดความกลัวหรือตกใจในเบื้องต้นรวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายแล้วและเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่า จึงลงโทษฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นบทหนักกว่าแต่บทเดียว ” ฯลฯ

Share