แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารนาว่ากิจการที่ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทเบียนทำไปจะหยู่ไนทางการค้าของหุ้นส่วนหรือไม่จะต้องพิเคราะห์ถึงสภาพของกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้นประกอบกับประเพนีที่ห้างหุ้นส่วนที่มีลักสนะเช่นเดียวกันย่อมปติบัติกันหยู่.
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยกับผู้อื่นเปนหุ้นส่วนไนห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทเบียนชื่อฮู้ฮง ทำการค้าไนทางโพยก๊วน ส่งเงินไปเมืองจีน แลกเปลี่ยนและซื้อขายเงินต่างประเทศ นายเซาะเซ็งเปนผู้จัดการ นายเซาะเซ็งไปกู้เงินจากโจทไนนามของห้างแล้วไม่ใช้ โจทจึงฟ้องเรียกจำเลยต่อสู้ว่าเปนการส่วนตัว นายเซาะเซ็ง และมิใช่เปนธัมดาการค้าของหุ้นส่วน.
สาลชั้นต้นและสาลอุธรน์เห็นว่านอกการค้าของห้าง จำเลยไม่ต้องรับผิด จึงพิพากสายกฟ้อง.
โจทตีกา สาลดีกาวินิฉัยว่า การที่ทำจะเปนการจัดทำไปไนทางเปนธัมดาการค้าของหุ้นส่วนตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา ๑๐๕๐ หรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึง (๑) สภาพแห่งธุระกิจของห้างหุ้นส่วนนั้น ๆ (๒) ประเพนีโดยทั่ว ๆ ไปที่ห้างหุ้นส่วนที่มีลักสนะเดียวกันเขาย่อมปติบัติ อนึ่งห้างหุ้นไม่จดทเบียนย่อมแตกต่างกันห้างหุ้นส่วนจดทเบียน เพราะคนพายนอกไม่มีทางรู้ถึงวัตถุประสงค์อันเปนการพายไนระหว่างพวกหุ้นส่วน ฉะนั้นตามธัมดาจะต้องถือว่ากินการของหุ้นส่วนไม่จดทเบียนก็คือกิจการของบุคคลธัมดานั่นเองที่จะต้องดูว่าสิ่งไดเปนการจัดทำไปในทางที่เปนธัมดาการค้าขายของหุ้นส่วน จึงต้องดูวิธีปติบัติการที่ห้างหุ้นส่วนนั้นปติบัติมาแล้วประกอบกับกิจการที่ห้างหุ้นส่วนอื่นอันมีลักสนะเดียวกันปติบัติหยู่.
เมื่อพิจารนาข้อเท็ดจิงแล้ว สาลดีกาฟังว่าการกู้ยืมรายนี้เปนธัมดาการค้าของห้างหุ้นส่วนฮู่ฮง จึงพิพากสากลับสาลล่างให้จำเลยไช้เงินแก่โจท.