คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยและศ.ทำสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่มีกำหนดเวลาเพื่อดำเนินกิจการเกี่ยวกับกิจการสนุกเกอร์และตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้จัดการงานของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเมื่อโจทก์จำเลยและศ. ยังไม่ได้ตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนกันแล้วโจทก์จะฟ้องขอคืนทุนที่โจทก์จะหุ้นโดยยังไม่มีการเลิกห้างหุ้นส่วนกันหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2537 โจทก์จำเลยและนายศิริชัย ดิลกรุ่งธีระภพ ตกลงเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนดำเนินกิจการสนุกเกอร์โดยใช้ชื่อว่ารวมมิตรสนุ๊กเกอร์ โจทก์ชำระเงินลงทุนเป็นเงินสด 50,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 200,000 บาทชำระเป็นเช็คพิพาทจำนวน 20 ฉบับ คือเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาถนนรัชดา – ห้วยขวาง จำนวน 4 ฉบับ ฉบับละ 10,000 บาทและเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาสุทธิสาร จำนวน 16 ฉบับฉบับละ 10,000 บาท ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2537 จำเลยกับนายศิริชัย แจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่มีความประสงค์จะให้โจทก์ร่วมลงทุนอีกต่อไป และตกลงให้โจทก์ถอนหุ้นจำนวน 250,000 บาท คืนไปโจทก์จึงตกลงถอนหุ้นดังกล่าว และจำเลยตกลงจะนำเงินค่าหุ้นจำนวน50,000 บาท และเช็คพิพาทจำนวน 20 ฉบับคืนให้โจทก์ในวันที่25 สิงหาคม 2537 เมื่อครบกำหนดจำเลยผิดนับไม่ยอมคืนเงินและเช็คพิพาทให้โจทก์ โจทก์จึงขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน50,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย129 บาท รวมเป็นเงิน 50,129 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน50,129 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้คืนเช็คพิพาทจำนวน 20 ฉบับ แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ จำเลย และนายศิริชัย ดิลกรุ่งธีระภพได้ตกลงเข้าหุ้นกันเป็นหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนชื่อว่ารวมมิตรสนุ๊กเกอร์ โดยลงทุนกันคนละ 250,000 บาท โจทก์ได้ชำระค่าส่วนลงหุ้นของโจทก์ด้วยเงินสด 50,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก200,000 บาท โจทก์ขอให้จำเลยออกเงินส่วนตัวของจำเลยทดรองจ่ายแทนโจทก์ โดยโจทก์ได้ส่งมอบเช็คพิพาทจำนวน 20 ฉบับ ตามฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าส่วนลงหุ้นที่จำเลยได้ทดรองจ่ายแทนโจทก์ ห้างหุ้นส่วนรวมมิตรสนุ๊กเกอร์ได้นำเงินลงหุ้นทั้งหมดไปใช้จ่ายในการดำเนินกิจการค้าตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจนหมดหุ้นส่วนได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนไปแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะเป็นหุ้นส่วนต่อไปโจทก์ก็ชอบจะบอกเลิกการเป็นหุ้นส่วนให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน ๆ ทราบล่วงหน้า 6 เดือนก่อนสิ้นรอบปีในทางบัญชีเงินของห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีจำเลยกับนายศิริชัยไม่เคยตกลงที่จะคืนเงินค่าลงหุ้นของโจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมเช็คพิพาทจำนวน 20 ฉบับ แก่โจทก์โจทก์ได้มอบเช็คพิพาททั้ง 20 ฉบับ ให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ส่วนลงหุ้นของโจทก์ที่จำเลยได้ออกเงินส่วนตัวทดรองจ่ายให้แทนโจทก์จำเลยจึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้ง 20 ฉบับ โดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิยึดถือเอาเช็คพิพาทไว้เป็นหลักฐานแห่งสิทธิและเรียกร้องบังคับเอาตามเนื้อความในเช็คพิพาททั้ง 20 ฉบับได้ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกร้องให้จำเลยส่งมอบเช็คพิพาททั้ง 20 ฉบับคืนโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 50,000 บาท และเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขารัชดา – ห้วยขวาง จำนวน4 ฉบับ เช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาสุทธิสาร จำนวน 16 ฉบับรวม 20 ฉบับ ซึ่งมีนายคุณาวุฒิ ทิพยมงคล เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแก่โจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า วันที่15 สิงหาคม 2537 โจทก์จำเลยและนายศิริชัย ดิลกรุ่งธีระภพ ทำสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนชื่อ รวมมิตรสนุ๊กเกอร์ โดยไม่มีกำหนดเวลาเพื่อดำเนินกิจการเกี่ยวกับสนุ๊กเกอร์และตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้จัดการงานของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวลงหุ้นกันคนละ250,000 บาท โจทก์จ่ายเป็นเงินสด 50,000 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นเช็ค 20 ฉบับ ฉบับละ 10,000 บาท ต่อมาได้นำเงินที่ลงหุ้นไปซื้อกิจการสนุ๊กเกอร์ของนายยกยุทธ แซ่ตั้ง และโจทก์เป็นผู้จัดการงานของห้างหุ้นส่วนมาจนถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2537 หลังจากนั้นมาโจทก์มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวอีก มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยต้องคืนทุนที่โจทก์ลงหุ้นตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องและหนังสือขอให้คืนเงินร่วมลงทุนและคืนเช็คเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอทุนคืน โจทก์อ้างว่าโจทก์ จำเลยและนายศิริชัยตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนกันแล้วและตกลงจะคืนทุนที่ลงหุ้นให้โจทก์ ในปัญหาข้อนี้ตัวโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ปัจจุบันนี้กิจการสนุ๊กเกอร์ยังคงเปิดดำเนินการอยู่จริงเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ จำเลยและนายศิริชัยตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนกันแล้ว โจทก์จะฟ้องขอคืนทุนที่โจทก์ลงหุ้นโดยยังไม่มีการเลิกห้างหุ้นส่วนกันหาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share