คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่าเสียหายในคดีละเมิดที่โจทก์จะเรียกจากจำเลยได้ต้องเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ดังนี้ ค่ารถแท็กซี่พาพยานไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนและค่าถ่ายรูปเพื่อใช้ประกอบคดี จึงมิใช่เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการทำละเมิดของจำเลย โจทก์เรียกเอาจากจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้กระป๋องน้ำขว้างถูกบริเวณหน้าผากของโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล และเนื่องจากมีโรคแทรกโจทก์ต้องรับการรักษาจากแพทย์จนถึงวันฟ้อง ยังไม่หาย เป็นเวลา 199 วัน การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย กล่าวคือ เสียค่ารักษาพยาบาล ค่ายาเป็นเงิน 14,373 บาท ค่ารถแท็กซี่ไปกลับจากบ้านไปโรงพยาบาล 12 วันเป็นเงิน 965 บาท ค่ารถแท็กซี่ไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนและพาพยานไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนและกลับ 7 วัน เป็นเงิน560 บาท ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าขนม ค่าถ่ายรูปค่าเอกซเรย์ เป็นเงิน 2,350 บาท โจทก์มีบาดแผลที่หน้าผากต้องเสียโฉมเสียบุคลิกภาพไปตลอดชีวิตคิดเป็นเงิน 30,000 บาท และโจทก์ประกอบการค้าตามปกติไม่ได้เป็นเวลา 167 วัน เสียหายวันละ 200 บาท รวมเป็นเงิน 33,400 บาท รวมที่โจทก์เสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน81,648 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 81,648 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำร้ายโจทก์จริงตามฟ้องแต่จำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่ต้องรับผิด หากจะต้องรับผิดก็ควรรับผิดไม่เกินกึ่งหนึ่งเพราะโจทก์มีส่วนในการกระทำความผิดด้วย ค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จรับเงิน 10 ฉบับ รวมเป็นเงิน13,973 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นค่ารักษาโรคที่โจทก์มีมาก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่ความเจ็บป่วยโดยตรงจากบาดแผลที่โจทก์ได้รับจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ โจทก์ไม่ได้เสียค่ารถแท็กซี่ตามฟ้อง ไม่ได้เสียค่าจ้างคนเฝ้าไข้ ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าขนม ค่าผลไม้ ค่าถ่ายรูปค่าเอกซเรย์ตามฟ้อง หากเสียจริงจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของจำเลยเป็นการฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นบาดแผลที่หน้าผากไม่ทำให้โจทก์เสียบุคลิกภาพและพิการ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน20,265 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 29,665บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์เรียกค่ารถแท็กซี่พาพยานไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนนั้น เห็นว่า มิใช่เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์เรียกเอาจากจำเลยไม่ได้ ค่าอาหาร ค่าถ่ายรูป ค่าคนเฝ้าไข้ค่ารถคนเฝ้าไข้ ค่าขนม ผลไม้ ตามเอกสารหมาย จ.24 นั้น เห็นว่าค่าถ่ายรูปแม้เป็นการถ่ายรูปเพื่อใช้ประกอบคดี ก็มิใช่เป็นค่าเสียหายตรงที่เกิดจากการทำละเมิดของจำเลย ค่าคนเฝ้าไข้และค่ารถคนเฝ้าไข้ไปกลับโรงพยาบาลโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเป็นอย่างไรจึงต้องมีคนเฝ้าไข้ ที่โจทก์เรียกค่าขาดรายได้หรือขาดกำไรวันละ 200 บาทนั้น เห็นว่า โจทก์ค้าขายของเบ็ดเตล็ดในลักษณะตั้งเป็นแผงลอยอยู่หน้าตึกแถวของโจทก์ ไม่ได้ใช้ตึกแถวเปิดเป็นร้านค้าการตั้งแผงลอยค้าขายเช่นนี้น่าจะมีของขายไม่มากเหมือนกับใช้ตึกแถวเปิดเป็นร้าน โจทก์ว่าขายได้กำไรวันละ 200 บาท แต่จำเลยใช้ตึกแถวใกล้กับแผงลอยของโจทก์เปิดเป็นร้านค้าขายของประเภทเดียวกับโจทก์จำเลยว่าได้กำไรสุทธิวันละ 200 บาทเศษ ไม่ถึง 300 บาท พยานในเรื่องนี้มีแต่ตัวโจทก์และตัวจำเลยเบิกความยันกันปากต่อปากจึงรับฟังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ แต่จำเลยนำสืบยอมรับว่าโจทก์ควรมีกำไรสุทธิวันละ 100 กว่าบาท อันเป็นอัตราสูงสุด ซึ่งน่าจะหมายความว่าบางวันก็ขายได้กำไร 100 กว่าบาท บางวันก็ไม่ได้พิจารณาร้านค้าของโจทก์และของจำเลยแล้ว ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ได้กำไรวันละ 100 บาทนั้น เห็นว่า พอสมควรแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์กำหนดให้วันละ 200 บาท มากเกินไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share