คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3990/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 42 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ”
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2527 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกระทำการอันเป็นความผิด ถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาอยู่ ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๗ เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันอันเป็นเวลาภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ใช้บังคับ จำเลยซึ่งมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้เข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างอาคารร้านค้าในที่ดินสาธารณประโยชน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิ จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก ๓ เดือน และปรับ ๕,๐๐๐ บาท รอการลงโทษมีกำหนด ๑ ปี กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาปัญหาข้อแรกว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ข้อ ๑๑ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๔๒ ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ” จึงตกเป็นโมฆะ เห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวมิได้ปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์แต่อย่างใด จึงไม่มีทางที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังที่จำเลยฎีกาได้ จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า โจทก์มิได้ระบุเวลา วันที่และเดือนที่จำเลยกระทำความผิดจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า เหตุเกิดเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน ส่วนที่ว่ามิได้ระบุวันที่และเดือนไว้นั้น ฟ้องโจทก์มีรายละเอียดไว้แล้วว่าเหตุเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๗ ถือได้ว่าพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จำเลยจึงให้การับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่าโจทก์ไม่มีสิทธิดำเนินคดี เพราะจำเลยยังใช้สิทธิร้องทุกข์โดยกราบบังคมทูลอยู่ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีอำนาจสอบสวนและฟ้องต่อเมื่อการกราบถวายบังคมทูลมีผลแล้วเท่านั้น เห็นว่าไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุคดีด้วยเหตุที่จำเลยฎีกาดังกล่าวอีกทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้
พิพากษายืน

Share