คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3983/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สุรากลั่นของกลางคดีนี้จะเป็นจำนวนเดียวกัน แต่ก็เห็นได้ว่าในความผิดแต่ละฐานต่างมีสภาพและลักษณะของการกระทำความผิดที่แตกต่างกัน และสามารถแยกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ และ พ.ร.บ.สุราฯ มาตรา 5, 30, 32 บัญญัติความผิดและบทลงโทษฐานทำสุราโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับการมีไว้ในครอบครองซึ่งสุราที่รู้ว่าทำขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมายไว้คนละมาตรากัน ดังนั้น การที่จำเลยทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตกับการมีไว้ในครอบครองซึ่งสุรากลั่นนั้น จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 91
สำหรับความผิดฐานขายสุรานั้น ตาม พ.ร.บ.สุราฯ มาตรา 31 มีระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท สำหรับมาตรา 30 เป็นบทบัญญัติความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรา 5 คือการทำสุรา หรือมีภาชนะหรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและถ้าได้ขายสุราที่ทำขึ้นนั้นด้วยต้องระวางโทษหนักขึ้น เป็นบทเพิ่มโทษจากการทำสุราเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่บทบัญญัติให้การขายสุราที่ทำขึ้นเป็นความผิดตามมาตรานี้อีกบทหนึ่ง ดังนั้น ที่จำเลยขายสุรากลั่นที่จำเลยทำขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 30 แต่เป็นความผิดตามมาตรา 31
ศาลล่างทั้งสองลงโทษเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 มาตรา 5, 30, 31, 32, 45 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 มาตรา 5, 30, 31, 32, 45 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำสุรากลั่น จำคุก 2 เดือน ปรับ 5,000 บาท ฐานมีสุรากลั่น จำคุก 2 เดือน ปรับ 5,000 บาท ฐานขายสุรากลั่น จำคุก 2 เดือน ปรับ 5,000 บาท รวมจำคุก 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 7,500 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังมีกำหนด 3 เดือนแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีสุรากลั่น ปรับ 1,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้วคงปรับ 500 บาท เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานทำสุรากลั่นและฐานขายสุรากลั่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วรวมจำคุก 2 เดือนและปรับ 5,500 บาท ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยมีและขายสุรากลั่นจำนวนและปริมาณตามฟ้อง ขัดแย้งกันเนื่องจากหากจำเลยมีสุรากลั่นไว้ในครอบครองย่อมแสดงว่าจำเลยไม่ได้ขายสุรากลั่นดังกล่าว หรือหากจำเลยขายสุรากลั่นไปแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสุรากลั่นไว้ในครอบครองอีก ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องจำเลยทำสุรากลั่นบรรจุถังพลาสติก 4 ใบ บรรจุถุงพลาสติก 7 ถุง บรรจุแกลลอน 20 ใบ ปริมาณ 592 ลิตร โดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยมีสุรากลั่นจำนวนและปริมาณดังกล่าวไว้ในครอบครองจากนั้นจำเลยขายสุรากลั่นจำนวนและปริมาณดังกล่าว โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสุราที่ทำขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นการกระทำในคราวเดียวและต่อเนื่องกัน กล่าวคือเมื่อจำเลยทำสุรากลั่นแล้ว จำเลยมีสุรากลั่นดังกล่าวไว้ในครอบครอง จากนั้นจำเลยขายสุรากลั่นนั้น การกระทำความผิดของจำเลยสำเร็จไปในแต่ละขั้นตอนของการกระทำแต่ละครั้ง หาได้ขัดแย้งกันหรือขัดต่อเหตุผลแต่ประการใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายประการต่อมาว่า สุรากลั่นของกลางที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องทั้งสามข้อ เป็นสุรากลั่นจำนวนเดียวกัน เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้ทำสุรากลั่นดังกล่าวแล้ว จำเลยก็ต้องมีสุราที่จำเลยเป็นผู้กลั่นไว้ในครอบครอง เพราะเป็นผลผลิตที่จำเลยได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำอันเกิดจากเจตนาและการกระทำอันเดียวกันต่อเนื่องกัน หาใช่มีเจตนาแตกต่างกันไม่ การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า แม้สุรากลั่นของกลางคดีนี้จะเป็นจำนวนเดียวกัน แต่ก็เห็นได้ว่าในความผิดแต่ละฐานต่างมีสภาพและลักษณะของการกระทำความผิดที่แตกต่างกันและสามารถแยกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ และพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 มาตรา 5, 30, 32 บัญญัติความผิดและบทลงโทษฐานทำสุราโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับการมีไว้ในครอบครองซึ่งสุราที่รู้ว่าทำขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมายไว้คนละมาตรากัน ดังนั้น การที่จำเลยทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตกับการมีไว้ในครอบครองซึ่งสุรากลั่นนั้นจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษมานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่งสำหรับความผิดฐานขายสุรานั้น ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 มาตรา 31 มีระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท สำหรับมาตรา 30 เป็นบทบัญญัติความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรา 5 คือ การทำสุรา หรือมีภาชนะหรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้าได้ขายสุราที่ทำขึ้นนั้นด้วยต้องระวางโทษหนักขึ้น เป็นบทเพิ่มโทษจากการทำสุราเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่บทบัญญัติให้การขายสุราที่ทำขึ้นเป็นความผิดตามมาตรานี้อีกบทหนึ่ง ดังนั้น ที่จำเลยขายสุรากลั่นที่จำเลยทำขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 30 แต่เป็นความผิดตามมาตรา 31 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยในความผิดนี้ จำคุก 2 เดือน ปรับห้าพันบาท เป็นการลงโทษเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยฐานขายสุรากลั่นปรับ 5,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งคงปรับ 2,500 บาท รวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้ว เป็นจำคุก 1 เดือน ปรับ 5,500 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share