แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่พิพาทกันจริง ๆ ในศาลชั้นต้น
การใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนของเจ้าของทรัพย์จากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 นั้น ไม่มีกำหนดเวลา เว้นแต่ผู้ยึดถือจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยส่งคืนทรัพย์สินบางรายการแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทอันจะยึดถือเป็นหลักในการวินิจฉัยว่า คดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันจริง ๆ ในศาลชั้นต้น คดีนี้โจทก์จำเลยพิพาทกันในศาลชั้นต้นเฉพาะทรัพย์สินตามรายการอันดับ 1, 2, 6, 8 และ 26 รวม 5 รายการซึ่งมีราคารวมกัน 48,000 บาทเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะเรื่องอายุความ ฎีกาจำเลยนอกจากนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริงศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้เฉพาะปัญหาเรื่องอายุความว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
จำเลยฎีกาว่า หากจำเลยครอบครองทรัพย์ของโจทก์ไว้ก็เท่ากับเป็นการกระทำละเมิดต่อตัวทรัพย์ ต้องใช้อายุความ 1 ปีในเรื่องละเมิดศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 บทบัญญัติตามมาตราดังกล่าวไม่ได้กำหนดเวลาที่เจ้าของจะใช้สิทธิติดตามเอาคืนไว้ โจทก์จึงใช้สิทธิติดตามเอาคืนได้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดเวลา เว้นแต่จำเลยจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และ 1383 ซึ่งคดีไม่มีประเด็นจะวินิจฉัย คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ”
พิพากษายืน