คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3974/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาซื้อขายข้อ 3 มีใจความว่า จำเลยที่ 1 ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่โจทก์ผู้ซื้อภายในกำหนด 200วัน นับแต่วันลงนามในสัญญาเป็นต้นไป โดยแบ่งการส่งมอบออกเป็น4 งวด ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้กำหนดจำนวนเงินค่าสิ่งของแต่ละงวดเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ตามสัญญาข้อ 5 วรรคสองมีข้อความว่าการจ่ายเงินจะจ่ายให้ตามงวดที่ผู้ขายได้ส่งของถูกต้องครบถ้วนทุกรายการ และคณะกรรมการได้ทำการตรวจรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามสัญญาดังกล่าวจะเห็นว่าการตกลงให้ผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อเป็นงวด ๆ มีกำหนดเวลาแน่นอน นับว่าเป็นสาระสำคัญและเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของสัญญา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสิ่งของสำหรับงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ภายในกำหนด ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด200 วันได้
สัญญาซื้อขายข้อ 7 มีข้อความว่า “ในวันทำสัญญานี้ผู้ขายได้นำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นจำนวนร้อยละ10 (สิบ) ของราคาสิ่งของทั้งหมดตามสัญญานี้คิดเป็นเงิน 1,085,480 บาท มามอบไว้แก่ผู้ซื้อเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้…”และวรรคสองมีข้อความว่า “หลักประกันที่ผู้ขายนำมามอบให้ตามวรรคหนึ่งผู้ซื้อจะคืนให้เมื่อผู้ขายพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญานี้แล้ว” และสัญญาข้อ 8 วรรคสอง มีข้อความว่า “ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้ตามแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร…” จากข้อความในสัญญาดังกล่าวเห็นได้ว่า การทำสัญญาระหว่างโจทก์ผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้ขายนี้โจทก์ต้องการจะให้จำเลยที่ 1 มีหลักประกันมาวางเพื่อเป็นการปฏิบัติตามสัญญา และจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ริบหลักประกันได้ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา แต่หลักประกันที่จำเลยที่ 1 นำมาวางนี้เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 3 ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์รับรองที่จะชำระเงินให้โจทก์ทันทีถ้าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและโจทก์ใช้สิทธิริบหลักประกันดังที่ปรากฏในหนังสือค้ำประกันข้อ 1 วรรคสอง ซึ่งมีข้อความว่า “ข้าพเจ้า(จำเลยที่ 3) ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีเสาวภาค (จำเลยที่ 1) ต่อกรมตำรวจ (โจทก์) เป็นวงเงินไม่เกิน 1,085,480 บาท กล่าวคือ หากห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีเสาวภาค ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายแผ่นป้ายอลูมิเนียม อัดวัสดุสะท้อนแสงและสีดำอบ แห้งที่ทำไว้กับกรมตำรวจหรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญาดังกล่าว ซึ่งกรมตำรวจมีสิทธิริบหลักประกันหรือค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆ จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีเสาวภาค ได้แล้ว ข้าพเจ้ายอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีเสาวภาค ชำระก่อน” เมื่อข้อสัญญาเป็นดังนี้ก็เห็นได้ว่าคู่สัญญามีความประสงค์ที่จะผูกพันกันว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญา เป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิริบหลักประกันแล้วจำเลยที่ 3 รับรองที่จะใช้เงินจำนวน 1,085,480 บาท ให้แก่โจทก์ทันที สัญญาดังกล่าวนี้ย่อมมีผลใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวน 1,085,480 แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาซื้อขายแผ่นอลูมิเนียมอัดวัสดุสะท้อนแสงและสีอบแห้เป็นเงิน ๑๐,๘๕๔,๘๐๐ บาท กำหนดส่งมอบภายในกำหนด ๒๐๐ วันนับแต่วันทำสัญญา โดยแบ่งส่ง ๔ งวด ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม,๙ มิถุนายน, ๙ กรกฎาคม และ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๗ ตามลำดับ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์หรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวนโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ กรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ ๑ ยอมให้ริบหลักประกันหรือเรียกร้องเงินจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันภายในวงเงินตามหนังสือสัญญาค้ำประกันกรณีโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (๐.๒) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันส่งมอบสิ่งของจนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างปรับถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์จะบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องเงินจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันกับเรียกให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดจำเลยที่ ๑ เป็นเงินไม่เกิน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาทหากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาหรือผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิริบหลักประกันหรือเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยที่ ๑ ได้แล้ว จำเลยที่ ๓ ยอมชำระเงินแทนทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระก่อน ต่อมาเมื่อครบกำหนดงวดที่ ๑จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบสิ่งของงวดที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาอีกโจทก์เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ ๑ พร้อมสงวนสิทธิในการเรียกค่าเสียหายและค่าปรับแล้ว จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ค่าปรับแก่โจทก์ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญางวดที่ ๑ คือวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ถึงวันทราบการบอกเลิกสัญญาคือวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๒๗ รวม ๔๐ วัน คิดเป็นเงิน ๘๖๘,๓๘๔ บาทจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ในเงินค้ำประกัน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาท ต้องรับผิดชดใช้เงินในวงเงินดังกล่าว โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามจำเลยที่๓ และจำเลยที่ ๒ แล้ว ต่างเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์ ๘๖๘,๓๔๘ บาท และให้จำเลยที่ ๓ชดใช้เงินให้โจทก์ ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ทำสัญญาซื้อขายแผ่นอลูมิเนียมอัดวัสดุสะท้อนแสงและสีดำอบแห้งกับโจทก์จริง ก่อนทำสัญญาได้ติดต่อผู้ผลิตให้ผลิตตามที่โจทก์ซื้อแต่ผู้ผลิตทำผิดขนาดความหนาและสีตามที่ตกลงกับจำเลย จำเลยจึงไม่รับและให้ผู้ผลิตแก้ไข จำเลยได้มีหนังสือแจ้งเหตุล่าช้าอันเป็นเหตุสุดวิสัยให้โจทก์ทราบแล้วและขอเลื่อนการส่งมอบช้ากว่ากำหนด๔๕ วัน ยอมให้โจทก์ปรับตามสัญญา ผู้ผลิตได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าจะส่งมอบสิ่งของภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗ จำเลยได้แจ้งโจทก์แล้วแต่โจทก์กลับใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๗ก่อนที่สิ่งของจะมาถึง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบว่าบริษัทผู้ผลิตกำลังส่งสินค้าให้แก่จำเลย อันเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบเพราะวันครบกำหนดตามสัญญาวันสุดท้ายคือวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๘ (ที่ถูก๒๕๒๗) และไม่ปรากฏข้อความในสัญญาว่าหากจำเลยผิดนัดการส่งมอบงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด จึงต้องตีความให้เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑ โดยถือว่าโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ก็ต้องเป็นหลังวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๘ ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจบอกเลิกสัญญาได้ และเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเรียกร้องเบี้ยปรับอันเป็นการบรรเทาความเสียหายที่ได้รับแล้วก็ไม่อาจริบเงินประกันจากจำเลยที่ ๓ ได้ และเบี้ยปรับก็สูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง ตามสัญญาค้ำประกันเป็นการค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาเท่ากับเป็นการประกันด้วยบุคคลมิได้ประกันด้วยทรัพย์ และค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้ระบุให้นำเงินสดมาวางเป็นประกันจึงมิใช่การค้ำประกันแทนการวางเงินสด ดังนั้นข้อความในสัญญาที่ระบุให้โจทก์ริบหลักประกันจึงไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๓ มีความผูกพันค้ำประกันในการปฏิบัติตามสัญญา หากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าปรับค่าเสียหายถ้าหากมีเท่านั้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดดังกล่าว จำเลยที่ ๓ จึงหาต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ไม่ โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ เพราะความล่าช้ามิใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ และล่าช้าเฉพาะบางงวดเท่านั้น ขณะบอกเลิกสัญญายังไม่ครบ ๒๐๐ วัน ตามสัญญา หากโจทก์ไม่รีบบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ ๑ สามารถส่งสิ่งของได้ตามสัญญาแน่นอน การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบ และเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยที่ ๑เสียหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย ถ้าโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้นจึงจะปรับได้ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าปรับ เมื่อจำเลยที่ ๑ไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องชี้สองสถานและสืบพยาน จึงให้งดแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา เหตุที่จำเลยที่ ๑ อ้างไม่ใช่เหตุสุดวิสัย โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ ๑ แต่เบี้ยปรับสูงเกินไปเห็นสมควรกำหนดให้เพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนเรื่องริบหลักประกัน จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ยอมให้ริบหลักประกันกรณีจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญา เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจนโจทก์บอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยที่ ๑ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิริบหลักประกันซึ่งถือว่าเป็นมัดจำได้ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้เงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ใช้เงิน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาท แก่โจทก์ทั้งนี้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่แต่ละคนต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๕,๐๐๐ บาท(เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนในส่วนที่แต่ละคนถูกฟ้อง)
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๓ อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดแทนจำเลยที่ ๑ หนี้ที่จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดก็คือหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไม่อาจจะมากไปกว่านั้น และเห็นว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบ กับเห็นด้วยที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้๑๐๐,๐๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๓ ข้อแรกมีว่าโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ข้อ ๓ มีใจความว่า จำเลยที่ ๑ ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่โจทก์ผู้ซื้อภายในกำหนด๒๐๐ วัน นับแต่วันลงนามในสัญญาเป็นต้นไป โดยแบ่งการส่งมอบออกเป็น ๔ งวด งวดที่ ๑ ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗ งวดที่ ๒ภายในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗ งวดที่ ๓ ภายในวันที่ ๙ กรกฎาคม๒๕๒๗ และงวดที่ ๔ ภายในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๗ และได้กำหนดจำนวนเงินค่าสิ่งของแต่ละงวดเอาไว้ด้วย ปรากฏตามสำเนาสัญญาข้อ ๓, ๓.๑, ๓.๒, ๓.๓ และ ๓.๔ และตามสำเนาสัญญาข้อ ๕ วรรคสองมีข้อความว่า การจ่ายเงินจะจ่ายให้ตามงวดที่ผู้ขายได้ส่งของถูกต้องครบถ้วนทุกรายการ และคณะกรรมการได้ทำการตรวจรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามสัญญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการตกลงให้ผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อเป็นงวด ๆ มีกำหนดเวลาแน่นอน นับว่าเป็นสาระสำคัญและเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของสัญญา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ส่งมอบสิ่งของสำหรับงวดที่ ๑ ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และงวดที่ ๒ ภายในวันที่ ๙ มิถุนายน๒๕๒๗ ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ประพฤติผิดเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาแล้ว และในทางกลับกันถ้าจำเลยที่ ๑ ส่งมอบสิ่งของสำหรับงวดที่ ๑ และงวดที่ ๒ ให้โจทก์ถูกต้องครบถ้วนทุกรายการ และคณะกรรมการได้ทำการตรวจรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่โจทก์ไม่จ่ายเงินงวดที่ ๑ และงวดที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ ก็ถือว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่นเดียวกัน จำเลยที่ ๓ จะฎีกาเถียงว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาในขณะที่ยังไม่ครบ ๒๐๐ วัน เป็นการไม่ชอบย่อมฟังไม่ขึ้น และได้ความว่าก่อนที่จะถึงกำหนดเวลาส่งมอบสิ่งของงวดที่ ๑ โจทก์ได้มีหนังสือสอบถามจำเลยที่ ๑ ว่าได้เตรียมการเกี่ยวกับการส่งมอบของไว้แล้วประการใด และได้ดำเนินการสั่งของจากต่างประเทศไปได้แค่ไหนเพียงใด จำเลยที่ ๑ กลับเพิกเฉยเสีย ครั้นเมื่อพ้นกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญางวดที่ ๑ แล้ว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑จัดส่งหลักฐานการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตไปยังบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศ หรือหลักฐานการซื้อสิ่งของตามสัญญาอย่างอื่นให้แก่โจทก์เพื่อโจทก์จะได้พิจารณาว่าจำเลยที่ ๑ อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้หรือไม่ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่จัดส่งเอกสารดังกล่าวให้โจทก์และอ้างเหตุที่ไม่ส่งมอบสิ่งของตามกำหนดว่าบริษัทผู้ผลิตสิ่งของทำสิ่งของผิดขนาดความหนาและสีตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ ๑จึงให้ผลิตใหม่ให้ได้ขนาดและสีตามตัวอย่าง และจำเลยที่ ๑ ขอขยายเวลาการส่งมอบสิ่งของออกไป ๔๕ วัน โจทก์จึงแจ้งจำเลยที่ ๑ว่าเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ยังมิได้ส่งมอบหลักฐานการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมาให้ จึงไม่อาจพิจารณาตามที่จำเลยที่ ๑ขอขยายเวลาการส่งมอบสิ่งของพร้อมกับเร่งรัดให้จำเลยที่ ๑ส่งมอบเอกสารหลักฐานตามที่โจทก์ต้องการ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงซื้อขายกับผู้ผลิตในต่างประเทศโดยวิธีเดินทางไปซื้อถึงที่และแบบ ดี/พี คือจะชำระเงินเมื่อได้รับสินค้าจากต่างประเทศ จึงไม่มีหลักฐานการเปิด แอล/ซี คือเลตเตอร์ออฟเครดิตจำเลยที่ ๑ ได้ส่งผู้จัดการของห้างเดินทางไปต่างประเทศ และจะกลับมาพร้อมหลักฐานนำมาแสดงต่อโจทก์ภายในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๗แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่สามารถนำหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อโจทก์ครั้นครบกำหนดที่จำเลยที่ ๑ จะต้องส่งมอบสิ่งของงวดที่ ๒ คือวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ ก็ไม่ส่งมอบสิ่งของตามสัญญาให้โจทก์ และหลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ มีหนังสือถึงโจทก์ขอผัดส่งสิ่งของภายในเดือนมิถุนายน และขอผัดส่งหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโรงงานผู้ผลิตในต่างประเทศภายในวันที่ ๒๐มิถุนายน ๒๕๒๗ โจทก์เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จะเห็นได้ว่าตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาแล้วนั้น โจทก์มีความประสงค์จะให้จำเลยที่ ๑ส่งมอบสิ่งของให้ตามสัญญาอย่างแท้จริง แม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์งวดที่ ๑ โจทก์ก็ยังไม่บอกเลิกสัญญาในทันทีแต่ก็ให้โอกาสจำเลยที่ ๑ โดยให้จำเลยที่ ๑ เสนอหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ดำเนินการติดต่อเพื่อซื้อสิ่งของที่จะส่งมอบให้โจทก์จากต่างประเทศไปแล้วแค่ไหนเพียงใด แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่สามารถแสดงหลักฐานตามที่โจทก์ต้องการได้จนกระทั่งครบกำหนดที่จำเลยที่ ๑ จะต้องส่งมอบสิ่งของให้โจทก์งวดที่ ๒ จำเลยที่ ๑ก็ยังคงไม่สามารถส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ได้ โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรหาได้เป็นการกลั่นแกล้งบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาแต่ประการใด ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๓ในประเด็นที่จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดต่อโจทก์จะได้วินิจฉัยรวมกันไปกับฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์หรือไม่เพียงใด ตามสำเนาสัญญาซื้อขายเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายฟ้องข้อ ๗ มีข้อความว่า “ในวันทำสัญญานี้ผู้ขายได้นำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาราชประสงค์ที่รส.๒๑/๒๕๒๗ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นจำนวนร้อยละ๑๐(สิบ) ของราคาสิ่งของทั้งหมดตามสัญญานี้คิดเป็นเงิน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บา(หนึ่งล้านแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยแปดสิบบาทถ้วน) มามอบไว้แก่ผู้ซื้อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ และมีอายุประกันตลอดระยะเวลาที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบตามสัญญานี้” และวรรคสองมีข้อความว่า”หลักประกันที่ผู้ขายนำมามอบให้ตามวรรคหนึ่ง ผู้ซื้อจะคืนให้เมื่อผู้ขายพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญานี้แล้ว” และสัญญาข้อ ๘ วรรคสองมีข้อความว่า “ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ ๗ เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ตามแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร… ฯลฯ” จากข้อความในสัญญาดังกล่าวเห็นได้ว่าการทำสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ นี้ โจทก์ต้องการจะให้จำเลยที่ ๑ มีหลักประกันมาวางเพื่อเป็นการปฏิบัติตามสัญญา และจำเลยที่ ๑ยอมให้โจทก์ริบหลักประกันได้ถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา แต่หลักประกันที่จำเลยที่ ๑ นำมาวางนี้เป็นหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๓สาขาราชประสงค์ ซึ่งจำเลยที่ ๓ สาขาราชประสงค์ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์รับรองที่จะชำระเงินให้โจทก์ทันทีถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาและโจทก์ใช้สิทธิริบหลักประกัน ดังที่ปรากฏในหนังสือค้ำประกันของธนาคาร เอกสารหมายเลข ๓ ท้ายฟ้อง ข้อ ๑ วรรคสอง ซึ่งมีข้อความว่า “ข้าพเจ้า (ซึ่งหมายถึงจำเลยที่ ๓ สาขาราชประสงค์)ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีเสาวภาค(หมายถึงจำเลยที่ ๑) ต่อกรมตำรวจ (หมายถึงโจทก์) เป็นวงเงินไม่เกิน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาท (หนึ่งล้านแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยแปดสิบบาทถ้วน) กล่าวคือ หากห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีเสาวภาคไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายแผ่นป้ายอลูมิเนียมอัดวัสดุสะท้อนแสงและสีดำอบแห้งที่ทำไว้กับกรมตำรวจหรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญาดังกล่าว ซึ่งกรมตำรวจมีสิทธิรับหลักประกันหรือค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆ จากห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีเสาวภาคได้แล้วข้าพเจ้ายอมชำระเงินแทนให้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีเสาวภาคชำระก่อน” เมื่อข้อสัญญาเป็นดังนี้ก็เห็นได้ว่าคู่สัญญามีความประสงค์ที่จะผูกพันกันว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ประพฤติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญา เป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิริบหลักประกันแล้วจำเลยที่ ๓ สาขาราชประสงค์รับรองที่จะใช้เงินจำนวน ๑,๐๘๕,๔๘๐ บาท ให้แก่โจทก์ทันทีสัญญาดังกล่าวนี้ย่อมมีผลใช้บังคับได้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที๓ รับผิดเพียงในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์มากไปกว่าจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท.

Share