คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากที่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การทำสัญญาซื้อขายกันเองเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ซื้อขายกันตามสัญญาขายฝากดังกล่าวได้ ส่วนหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่กรมประชาสงเคราะห์ตกลงยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบุคคลสิทธิ โจทก์ไม่อาจบังคับผู้อื่นนอกจากคู่สัญญาได้ จำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทอยู่ก่อนโดยโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิตามสัญญาเช่าของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า อ. ผู้ให้จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านพิพาท มิได้รับโอนสิทธิและได้รับอนุญาตจากกรมประชาสงเคราะห์การครอบครองของ อ. จึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น การเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์นั้น มิได้เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่วินิจฉัยมาแต่อย่างใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง จึงต้องทำตามแบบตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ
ขณะที่ ฮ. โอนสิทธิในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ แสดงว่าโจทก์ไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเลย โจทก์ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 การที่จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในบ้านและที่ดินอยู่นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ห้ามมิให้เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทในนิคมสร้างตนเองธารโต จังหวัดยะลา อยู่ในความครอบครองดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ และได้จัดสรรให้ราษฎรเข้าไปจับจองใช้ประโยชน์ ซึ่งแต่เดิมนางฮามีด๊ะ เป็นผู้ได้รับจัดสรรและใช้ประโยชน์ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 68 บนที่ดินพิพาทและได้ให้จำเลยครอบครองเปิดร้านขายอาหาร ต่อมานางฮามีด๊ะได้โอนบ้านดังกล่าวพร้อมสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ได้ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 68 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว แต่โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากจำเลยยังคงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางฮามีด๊ะเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การทำสัญญาซื้อขายกันเอง จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ย่อมไม่อาจกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ซื้อขายกันตามสัญญาขายฝากดังกล่าวได้ ส่วนหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่กรมประชาสงเคราะห์ตกลงยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเพียงบุคคลสิทธิ อันเป็นสิทธิเหนือบุคคลผู้เป็นคู่สัญญาเท่านั้น โจทก์ไม่อาจบังคับบุคคลอื่นนอกจากคู่สัญญาได้ เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทตามฟ้องอยู่ก่อน โดยโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทตามสัญญาเช่า จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาท ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิตามสัญญาเช่าของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า นายอูมา ผู้ให้จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านพิพาทมิได้รับโอนสิทธิและได้รับอนุญาตจากกรมประชาสงเคราะห์ การครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของนายอูมา จึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้นการเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้น ฎีกาของโจทก์ข้อนี้มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้นเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในแนวเขตนิคมสร้างตนเอง กรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งเป็นที่ดินของทางราชการ การทำสัญญาซื้อขายบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว จึงไม่ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ส่งมอบการครอบครองและได้ปฏิบัติมาตามระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่ทางราชการได้กำหนดก็เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและถือว่าผู้นั้นมีสิทธิแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติจากคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางฮามีด๊ะเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง จึงต้องอยู่ภายในบังคับแห่งแบบของสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบัญญัติว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของทางราชการ ได้รับยกเว้นไม่ต้องทำตามแบบของมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้นด้วย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาประการต่อมาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทแล้วนั้น เห็นว่า ป.พ.พ. มาตรา 1367 บัญญัติถึงหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองว่า บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังและโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้เถียงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะที่นางฮามีด๊ะโอนสิทธิในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ได้รับโอนสิทธิจากผู้ได้รับสิทธิจากกรมประชาสงเคราะห์เท่านั้น แต่โจทก์ยังไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเลย โจทก์ย่อมยังไม่ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในบ้านและที่ดินพิพาทตามมาตรา 1367 ดังกล่าวข้างต้น ข้อกล่าวอ้างตามฎีกาของโจทก์แม้จะรับฟังได้ว่ากรมประชาสงเคราะห์ได้ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์เข้าใช้ประโยชน์ในบ้านและที่ดินดังกล่าวถูกต้องตามระเบียบราชการแล้วก็ตาม ก็มีผลเพียงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเข้าไปครอบครองใช้ประโยชน์ในบ้านและที่ดินพิพาทแล้วเท่านั้น แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ โจทก์ย่อมยังไม่ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในบ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้อง การที่จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์ในบ้านและที่ดินพิพาทอยู่นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิดังกล่าวของโจทก์ อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share