แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในการตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์ การที่เจ้าพนักงานประเมินไม่ยอมรับพิจารณาเอกสารบางฉบับที่โจทก์ส่งเนื่องจากไม่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบภาษีของโจทก์ และใช้เอกสารหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ มาพิจารณาประกอบการประเมินภาษีของโจทก์ ย่อมมีสิทธิทำได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร บัญชีกระแสรายวันที่เสียดอกเบี้ยซึ่งเบิกเกินบัญชีใช้ชื่อเจ้าของบัญชีว่า พ. หาได้ใช้ชื่อห้างโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีไม่ทั้งโจทก์มิได้แสดงรายการเสียดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ในงบกำไรขาดทุนของโจทก์ จึงถือได้ว่า การเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวเป็นการกระทำของ พ. ในฐานะส่วนตัว ดอกเบี้ยที่เสียไปดังกล่าวไม่อาจนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ได้เพราะเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 ที่โจทก์อ้างว่าชำระเกินไปในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว ไม่อาจนำมาเครดิตภาษีกับภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ปี พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2528 ที่ถูกประเมินในคดีนี้ เพราะเป็นการเครดิตภาษีต่างรอบระยะเวลาบัญชีกัน เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 69 ทวิ และโจทก์ไม่อาจขอหักกลบลบหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์สำหรับการประเมินภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 แต่ประการใดทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการตรวจสอบภาษีของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวหรือไม่ผลเป็นประการใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527 จำนวนเงิน 114,866 บาท และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ยอมรับเอกสารบางฉบับที่โจทก์นำส่งตามหมายเรียก และจำเลยประเมินภาษีอากรของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลบางส่วนที่มิใช่ได้มาจากการออกหมายเรียก การประเมินจึงเป็นการไม่ชอบนั้น ได้ความว่าเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยอมรับนั้น ความจริงเป็นเอกสารที่นางสาวเสาวลักษณ์ เหมพรหมราช เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบภาษีรายนี้ได้รับมาจากพนักงานของโจทก์และได้ตรวจสอบดูแล้ว เมื่อเห็นว่าถูกต้องแล้วก็คืนให้พนักงานของโจทก์ไปเฉพาะเอกสารบางส่วนที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ต่อไป เช่นหลักฐานการซื้อสินค้าจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งนายทวีโชค สงวนศรี พนักงานของโจทก์นำมายื่นให้เพื่อขอตรวจสอบกับยอดซื้อ เมื่อนางสาวเสาวลักษณ์ตรวจดูแล้วเห็นว่า เอกสารดังกล่าวตรงกับบัญชีซื้อก็คืนเอกสารดังกล่าวให้นายทวีโชคไปพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าฝ่ายจำเลยรับเอกสารของโจทก์และได้พิจารณาให้เป็นคุณแก่โจทก์แล้วจึงได้คืนเอกสารให้โจทก์ไปหาใช่จำเลยไม่ยอมรับเอกสารของโจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไม่นอกจากนี้ยังได้ความว่า นางสาวเสาวลักษณ์ได้ยินยอมให้นายพยงค์ลบแย้มหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์แก้ไขรายการที่ลงไม่ถูกต้องในเอกสาร ซึ่งนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายจำเลยได้ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาแสดงโดยให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยอมรับเอกสารเกี่ยวกับการจำหน่ายน้ำมันให้แก่ผู้แทนจำหน่ายของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 นั้น ก็ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2530 ซึ่งระบุราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระยะเวลาของเดือนพฤษภาคม 2530 ไม่สามารถนำมาใช้กับกรณีนี้ซึ่งเป็นการประเมินภาษีของโจทก์เฉพาะรอบระยะเวลาบัญชีปีพ.ศ. 2527 ถึง พ.ศ. 2528 ได้ เอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบภาษีรายนี้ ส่วนเอกสารอื่น ๆ ที่จำเลยไม่ยอมรับไว้พิจารณานั้นก็ปรากฏว่า เป็นเอกสารที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบภาษีของโจทก์แต่ประการใด การที่จำเลยไม่รับพิจารณาเอกสารบางฉบับตามที่โจทก์กล่าวอ้างจึงชอบแล้ว นอกจากนี้ในการตรวจสอบภาษีของโจทก์นั้น จำเลยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เอกสารเฉพาะที่โจทก์ส่งอ้างมาให้ทำการตรวจสอบแต่เพียงอย่างเดียวจำเลยมีสิทธิที่จะใช้เอกสารหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ มาพิจารณาประกอบได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรแต่ประการใด
สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ยอมให้นำค่าดอกเบี้ยสำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ชอบหรือไม่นั้นคู่ความรับกันว่าบัญชีกระแสรายวันที่เสียดอกเบี้ยซึ่งเบิกเกินบัญชีนั้น ใช้ชื่อเจ้าของบัญชีว่านายพยงค์ ลบแย้ม หาได้ใส่ชื่อห้างโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีไม่ ดังนั้นการเบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีดังกล่าวจึงน่าจะต้องถือว่าเป็นการกระทำของนายพยงค์ ลบแย้มในฐานะส่วนตัว นอกจากนี้โจทก์มิได้แสดงรายการเสียดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ในงบกำไรขาดทุนของโจทก์ ดังนั้น ที่จำเลยไม่ยอมให้ถือดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์โดยเห็นว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (3) จึงชอบแล้ว
ในปัญหาที่ว่า การที่จำเลยยอมให้หักส่วนลดจ่ายในการที่โจทก์จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้ลูกค้าเพียง 391,804.88 บาท ไม่ยอมให้หัก 535,731.21 บาท ตามความประสงค์ของโจทก์ชอบหรือไม่นั้นโจทก์มีนายอนวัช วัฒนกิจยิ่งยง ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์มีส่วนลดให้แก่ลูกค้าประจำโดยเฉพาะถ้าเป็นหน่วยงานราชการจะลดให้เป็นพิเศษ โดยไม่คำนึงต้นทุนว่าซื้อมาเท่าใดราคาที่สามารถจำหน่ายได้เท่าใดก็จำหน่ายให้โดยโจทก์ก็อาจขายให้ลูกค้าประจำถูกกว่าราคาที่ทางราชการกำหนดให้ขาย ลิตรละ 5 สตางค์ ถึงลิตรละ 10 สตางค์ แต่ส่วนลดนี้มีจำนวนเท่าใด พยานจำไม่ได้แน่นอน เห็นได้ว่าโจทก์เองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าส่วนลดที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นคิดเป็นเงินทั้งสิ้นเท่าใดแต่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่า จำเลยยอมให้โจทก์หักส่วนลดในการขายน้ำมันเชื้อเพลิงถึงลิตรละ 17 สตางค์ สูงกว่าที่โจทก์นำสืบมาก ทั้งยอมให้หักส่วนลดได้ถึงร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งหมดกล่าวคือ ยอมให้คิดเป็นยอดขายส่งถึงร้อยละ 50 โดยเชื่อตามคำให้การของนายชำนาญ อนันตเดชะ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เอง ตามสำนวนการตรวจสอบภาษีอากรเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 77 และ 78 พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานจำเลย ดังนั้น ที่จำเลยยอมให้หักส่วนลดจ่ายให้โจทก์ 391,804.87 บาท โดยคำนวณจากหลักเกณฑ์ตามคำให้การของผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ดังกล่าวจึงนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์มากแล้วและเป็นการประเมินส่วนลดจ่ายที่ชอบด้วยเหตุผลและความเป็นธรรมแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายจำนวน18,825.13 บาท ที่โจทก์ขอให้เครดิตภาษี แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามนั้น โจทก์เองก็ยอมรับว่าเงินภาษีจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นค่าภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 แต่การประเมินภาษีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการประเมินภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2527และ พ.ศ. 2528 เท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยไม่ยอมเครดิตให้โจทก์เพราะเป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 69 ทวิ เนื่องจากเป็นการเครดิตภาษีต่างรอบระยะเวลาบัญชีกันนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ที่โจทก์อ้างเรื่องหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์สำหรับการประเมินภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526ประการใด ทั้งยังไม่ปรากฏว่าได้มีการตรวจสอบภาษีของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2526 แล้วหรือไม่ ผลเป็นประการใดดังนั้น ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า การประเมินและคำวินิจฉัยของจำเลยชอบแล้วนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน