แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 เช่าที่ดินจาก น. โดยมีข้อสัญญาระบุว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิปลูกสร้างอาคารลงในที่ดิน เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโจทก์ที่ 1 ต้องรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างออกไป ดังนั้นการที่โจทก์ที่ 1 ให้ ด. ปลูกตึกแถวลงในที่ดินเพื่อให้คนเช่า โดยให้ ด. ออกเงินค่าก่อสร้างเอง และ ด. มีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่าแต่ผู้เดียว ตึกแถวดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวมิใช่ส่วนควบของที่ดิน กรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวย่อมตกได้แก่โจทก์ที่ 1 และถือว่าเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ที่ 1 ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(5) (ก) จึงต้องนำตึกแถวดังกล่าวมาคำนวณมูลค่าถือเป็นเงินได้พึงประเมินในการเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ 1 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เป็นสามีภรรยากันโจทก์ที่ ๑ ได้เช่าที่ดินบริเวณถนนสุนทรโกษา เนื้อที่ ๗ ไร่๑๑ ตารางวา และปลูกสร้างตึกแถวขึ้นที่ดินส่วนที่เหลือปลูกเป็นแผงลอย แล้วนำตึกแถวและแผงลอยออกให้เช่า โจทก์ที่ ๑ ได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินไว้ที่เขตพระโขนง แสดงว่าโจทก์ที่ ๑ ได้รับค่าเช่า แต่จากการตรวจแบบแสดงรายการเสียภาษีประจำปีของโจทก์ทั้งสองพบว่าโจทก์ทั้งสองไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีโดยแสดงเงินได้ที่ได้รับจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๔๐(๕) รวมไว้ด้วยเลย คงแสดงเงินได้เฉพาะเงินได้ซึ่งเป็นเงินเดือนและเงินปันผลเท่านั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ ๒ ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ที่ ๑ เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ ๒
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยสำหรับภาษีเงินได้ตาม มาตรา ๔๐(๕)แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะเงินได้เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในตัวอาคารตึกแถวประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๕, ๒๕๑๖, ๒๕๑๗, ๒๕๑๘ ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งคิดเป็นเงินปีละ ๕๕๐,๔๒๔.๕๒ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าโจทก์ที่ ๑ เช่าที่ดินมาจากนางน้อย อิศระเสนา มาแล้วโจทก์จึงตกลงให้นายดิเรกรับเหมาปลูกสร้างตึกแถวให้คนเช่าโดยตกลงกันว่าให้นายดิเรกออกเงินค่าก่อสร้างเอง เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้นายดิเรกเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า ครั้นนายดิเรกก่อสร้างตึกแถวเสร็จ นายดิเรกได้เรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่าไปหมดแต่ผู้เดียวตามข้อตกลง ตึกแถวดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับนางน้อยได้ระบุว่าโจทก์ที่ ๑เช่าเฉพาะที่ดิน โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิปลูกสร้างอาคารโดยจะต้องรื้อถอนอาคารเหล่านั้นออกไปเมื่อสัญญาเช่าที่ดินสิ้นสุดลง ดังนั้นอาคารตึกแถวเหล่านั้นจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน กรรมสิทธิ์ในอาคารตึกแถว ๑๒๘ ห้อง ตกเป็นของโจทก์ที่ ๑ ในระหว่างที่สัญญาเช่าที่ดินยังไม่สิ้นสุด โจทก์ย่อมมีเงินได้พึงประเมินจากประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามมาตรา ๔๐(๕) (ก)แห่งประมวลรัษฎากร การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้คำนวณมูลค่าตึกแถวแล้วเฉลี่ยเป็นรายปีและได้แจ้งให้โจทก์ที่ ๑ นำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มภาษีไปชำระสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๑๕,๒๕๑๖, ๒๕๑๗ และ ๒๕๑๘ จึงชอบแล้ว คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ ทั้งหมด.