แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยมีใจความว่า จำเลยขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 แสดงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับธนาคารซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ และโจทก์จำเลยมีเจตนาแท้จริงที่จะจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงิน240,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่า 5 ปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 745 คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าหนี้ดอกเบี้ยตามฟ้องขาดอายุความแล้ว ซึ่งปัญหาเรื่องอายุความในทางแพ่งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวของจำเลยจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2527 จำเลยนำเช็คลงวันที่ 25 ตุลาคม 2527สั่งจ่ายเงินจำนวน 240,000 บาท มาขายลดเช็คให้แก่โจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คฉบับดังกล่าว และได้ตกลงกับโจทก์ว่าหากเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยยินยอมรับผิดชดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 22ตุลาคม 2528 โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คที่จะต้องชำระเงินตามเช็คให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 549,186 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ในต้นเงิน 240,000บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินให้เหตุผลว่า เช็คพ้นกำหนดการจ่ายเงิน แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาของกฎหมายในการเรียกเก็บเงินตามเช็คและใช้สิทธิเรียกร้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องหนี้จากจำเลยและไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความแล้วเพราะขัดต่อมาตรา 990 และมาตรา 1002ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วมีคำสั่งให้งดการสืบพยานโจทก์พยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 549,186 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ในต้นเงิน 240,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโจทก์ไม่มีอำนาจเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยลงวันที่ 20กันยายน 2536 มีใจความว่าจำเลยขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงิน มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 แสดงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับธนาคารซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ และโจทก์จำเลยมีเจตนาแท้จริงที่จะจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงิน 240,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่า 5 ปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 745 ดังนี้ เห็นว่า คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าหนี้ดอกเบี้ยตามฟ้องขาดอายุความแล้ว ซึ่งปัญหาเรื่องอายุความในทางแพ่งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวของจำเลยจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน