แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 45 และมาตรา 61 มีเจตนารมณ์ ให้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้เพียงครั้งเดียว.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 3 เด็ดขาดระหว่างนัดฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 เคยยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ที่ประชุมเจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้จำเลยที่ 1 จะยื่นคำขอประนอมหนี้ได้อีกก็ต้องเป็นการขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลาย จึงให้ยกคำขอประนอมหนี้
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และให้รับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ดำเนินการต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 6กันยายน 2528 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย วันที่ 16พฤษภาคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เด็ดขาดวันที่ 15 สิงหาคม 2529 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2530 และที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้และขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2530 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ล้มละลาย และนัดไต่สวน จำเลยที่ 1 โดยเปิดเผย ส่วนจำเลยที่ 3ขอให้งดการไต่สวนจำเลยที่ 3 โดยเปิดเผยไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยที่ 3 หลบหนี ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนจำเลยที่ 1 โดยเปิดเผยแล้วแต่ให้รอการพิพากษาไว้ก่อนเนื่องจากจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2530 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นครั้งที่สอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งยกคำขอประนอมหนี้และเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อีกครั้งหนึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งยกคำขอประนอมหนี้ จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และให้รับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ดำเนินการต่อไป
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 45 มิได้บัญญัติห้ามไว้ว่าก่อนล้มละลายจะขอประนอมหนี้ครั้งที่สองอีกไม่ได้เป็นแต่บัญญัติเพื่อบังคับให้ยื่นคำขอประนอมหนี้โดยเร็วเท่านั้น ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ยื่นคำขอประนอมหนี้ฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2531 เกินกว่าสามเดือนนับแต่วันที่การขอประนอมหนี้ครั้งสุดท้ายไม่เป็นผล จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้อีกนั้น เห็นว่า การขอประนอมหนี้นั้นพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้กำหนดขั้นตอนการขอประนอมหนี้ไว้เป็นสองขั้นตอน ตอนแรกเป็นการขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ตามมาตรา 45 และตอนหลังเป็นการขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายตามมาตรา 63 ตามมาตรา 45 บังคับให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามมาตรา 30 หรือภายในเวลาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดให้ และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่าจะยอมรับคำขอนั้นหรือไม่ และมาตรา 31 วรรคแรกบัญญัติว่า “เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้วให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษาว่าจะควรยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้ หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป การประชุมนี้ให้เรียกว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก”ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2530 ปรากฏว่าที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติเป็นเอกฉันท์ไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานต่อศาลชั้นต้นขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 1ล้มละลาย และนัดไต่สวนจำเลยที่ 1 โดยเปิดเผย ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนจำเลยที่ 1 โดยเปิดเผยแล้ว แต่ให้รอการพิพากษาไว้ก่อนเนื่องจากจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 61 บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไปขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี…ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย…” ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 61ดังกล่าวบังคับให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายทันทีเมื่อได้ดำเนินคดีมาตามขั้นตอนของมาตรานี้ครบถ้วนแล้ว ศาลจะงดพิพากษาหรือรอการพิพากษา หรือพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่ามีเจตนารมณ์ให้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้เพียงครั้งเดียว หากจำเลยที่ 1 จะขอประนอมหนี้อีกก็ชอบที่จะเสนอคำขอได้ในตอนหลังเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 63 ที่จำเลยที่ 1ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2531 เข้ามาอีกนั้น นอกจากจะมิได้ยื่นภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 45 แล้ว การยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายอีกจะทำให้คดีล้มละลายไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายล้มละลายตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 13 และ 153 ทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ 8 ว่าด้วยการประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายมาใช้บังคับแก่การประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 63มาใช้บังคับแก่การประนอมหนี้ก่อนล้มละลายดังที่จำเลยที่ 1อ้างไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย…”
พิพากษายืน.