แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยเคยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาท แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากที่ดินส่วนของโจทก์ขาดหายไปประมาณ30 ตารางวา โจทก์ต้องการที่ดินส่วนของโจทก์ 100 ตารางวา แต่จำเลยไม่ยินยอม ย่อมถือได้ว่าสิทธิของโจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์และจำเลยทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินโดยให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นจำนวนเนื้อที่แน่นอนคือ 100 ตารางวา เมื่อโจทก์และจำเลยขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์โดยแยกที่ดินส่วนของตนเองออกมา ปรากฏว่าที่ดินพิพาททั้งแปลงขาดหายไป 30ตารางวา จำเลยจะเอาเนื้อที่ที่อ้างว่าขาดหายไปมาหักจากเนื้อที่ดินพิพาททั้งแปลงแล้วแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามส่วนในโฉนดหาได้ไม่ โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจำนวน 100 ตารางวา ตามที่ซื้อขายจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 34049เนื้อที่ 2 งาน 2 ตารางวา โดยโจทก์ถือกรรมสิทธิ์จำนวน 100 ส่วน ในจำนวน 202 ส่วนต่อมาโจทก์ประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้เป็นสัดส่วน แต่จำเลยไม่ยอมดำเนินการร่วมกับโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 34049 แก่โจทก์เพื่อไปทำการยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์ (ที่ถูกขอทำการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม)โดยกำหนดเนื้อที่เป็นของโจทก์จำนวน 1 งาน หากจำเลยไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินและไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยเคยรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน ที่ดินส่วนของโจทก์ขาดหายไปบางส่วนประมาณ 30 ตารางวา สิทธิของโจทก์จะต้องลดลงตามส่วนแต่โจทก์ไม่ยอมรับ กรณียังไม่เกิดข้อโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 34049 ให้แก่โจทก์และไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยก (ที่ถูก ไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม) ที่ดินโฉนดเลขที่34049 ร่วมกับโจทก์ โดยกำหนดเนื้อที่เป็นของโจทก์จำนวน 1 งาน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า วิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 34049 เนื้อที่ 2 งาน 2 ตารางวา อันเป็นที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยโจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมจำนวน 100ส่วน ในจำนวน 202 ส่วน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์และจำเลยเคยร่วมกันดำเนินการ ขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว และช่างรังวัดได้ไปทำการรังวัดให้แต่เนื่องจากที่ดินขาดหายไปบางส่วน จึงไม่อาจตกลงกันได้ จำเลยจึงขอยกเลิกเรื่องโจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยไปทำการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมอีกครั้ง ซึ่งจำเลยได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่า จำเลยพร้อมที่จะดำเนินการรังวัดและแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้ แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำคดีมาสู่ศาลเสียก่อน ดังนั้น การที่จำเลยไม่ยอมไปดำเนินการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาท จึงหามีมูลความจริงแต่ประการใดไม่โจทก์ไม่ถูกโต้แย้งสิทธิแต่ประการใดจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยเคยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขานครชัยศรีเพื่อทำการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาท แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากที่ดินส่วนของโจทก์ขาดหายไปประมาณ 30 ตารางวา โจทก์ต้องการที่ดินส่วนของโจทก์100 ตารางวา แต่จำเลยไม่ยินยอม ย่อมถือได้ว่าสิทธิของโจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำนวนเท่าใด โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยเนื้อที่ 100 ตารางวา โจทก์จึงมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท 100 ตารางวา หรือจำนวน 100 ส่วน จากจำนวนเนื้อที่ทั้งหมด 202 ส่วน หรือ 202 ตารางวา จำเลยเบิกความเป็นพยานยอมรับว่าเป็นความจริง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางพรรณี โรจน์สุนันท์ซึ่งเป็นช่างรังวัดผู้ไปทำการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาทเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ในการรังวัดที่ดินพิพาทปรากฏว่าเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินที่ทำการรังวัดขาดหายไปจำนวน 30 ตารางวา เห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดิน โดยให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นจำนวนเนื้อที่แน่นอนคือ 100 ตารางวาเมื่อโจทก์และจำเลยขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยแยกที่ดินส่วนของตนออกมา แต่ปรากฏว่าที่ดินพิพาททั้งแปลงขาดหายไป 30 ตารางวา จำเลยจะเอาเนื้อที่ที่อ้างว่าขาดหายไปมาหักจากเนื้อที่ที่ดินพิพาททั้งแปลง แล้วแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามส่วนในโฉนดหาได้ไม่โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจำนวน 100 ส่วนหรือ 100 ตารางวา ตามที่ซื้อขายจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน