คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มอบให้ทนายมีหนัสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี และไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าววันที่ 18 สิงหาคม 2522 ถือได้ว่ามีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามที่บอกกล่าวคือในวันที่ 17 กันยายน 2522 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเพียงวันที่ 17 กันยายน 2522 ต่อจากนั้นคงคิดได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา
ผู้ค้ำประกันย่อมต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงเท่าที่ตนยอมค้ำประกัน ข้อสัญญาที่ผู้รับจำนองค้ำประกันมีสิทธิบังคับจำนองสำหรับหนี้ต้นเงินที่เกินวงเงินจำนองค้ำประกันด้วยนั้น เป็นการให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเกินกว่าที่ตนยอมค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินที่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 30,000 บาท ปรากฏตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ครั้งสุดท้ายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นเงิน 16,031 บาท 69 สตางค์ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันนี้ ส่วนวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นเพื่อให้ผู้ค้ำประกันรับผิดนั้นต้องดูรายการที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์เต็มตามวงเงินที่ค้ำประกันเป็นวันเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยทบต้น ปรากฏตามรายการบัญชีเดินสะพัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นเงิน 43,031 บาท 69 สตางค์ จึงให้ถือเอาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นวันเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงิน 30,000 บาท ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2522 อันเป็นวันสุดท้ายที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามปกติ
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ ดังนั้นแม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 4 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้เปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาลำปาง จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ ๑ กับโจทก์เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยมีจำเลยที่ ๒ ได้นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกัน จำเลยที่ ๑ ได้ขอเพิ่มวงเงินเบิกเกินบัญชีอีก ๕๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๓ นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันกับมีจำเลยที่ ๔ นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ขอเพิ่มวงเงินเบิกเกินบัญชีอีก ๒๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งหมด ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้ตลอดมาจนถึงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ไม่นำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้อีกเลย จนถึงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามบัญชีเดินสะพัดเป็นเงิน ๔๖๑,๗๘๐ บาท ๔๕ สตางค์ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยจนถึงวันชำระเสร็จภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ก็ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน นับแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ เริ่มเป็นหนี้โจทก์จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ อันเป็นวันครบกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นสุดบัญชีเดินสะพัดต่อกันเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๗๑,๖๙๙ บาท ๔๓ สตางค์ ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ภายในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับหนังสือจากทนายโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายใน ๓๐ วัน เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ อันถือได้ว่าเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นไป นับแต่วันเลิกสัญญาเดินสะพัด โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้คงคิดได้เพียงดอกเบี้ยธรรมดา ฯลฯ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๖๘,๒๔๘ บาท ๔๔ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๓๔,๑๑๑ บาท ๕๕ สตางค์ ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๕๘,๖๓๑ บาท ๐๕ สตางค์ กับดอกเบี้ยให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๒,๙๓๔ บาท ๔๘ สตางค์ กับดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ ๔๙๖,๗๐๕ บาท ๙๕ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๓ ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามหนังสือลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๓ ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ ๕ เดือนเดียวกัน ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตั้งแต่วันนั้นสวนโจทก์ตั้งประเด็นในคำแก้ฎีกาว่า บัญชีเดินสะพัดเลิกกันเมื่อครบกำหนดบอกกล่าวคือวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ฉบับลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๒ จากโจทก์นั้น จำเลยมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ การที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันตั้งแต่วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ และเห็นว่าตามหนังสือของทนายโจทก์ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๒ ที่บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีและให้ไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ จึงครบกำหนดในวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ จึงต้องถือว่าวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ เป็นวันเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๙ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเพียงแค่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ระยะเวลาต่อจากนั้นโจทก์จะคิดได้เฉพาะดอกเบี้ยตามปกติ
ปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยผู้ค้ำประกันนั้น ได้ความว่า สัญญาค้ำประกันทั้งสามฉบับมีข้อความอย่างเดียวกัน ได้ระบุเงื่อนไขความรับผิดของผู้ค้ำประกันไว้ว่า นอกจากจำนวนต้นเงินที่ผู้ค้ำประกันตกลงค้ำประกันแล้ว ยังมีหนี้อุปกรณ์คือดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ ค่าใช้จ่ายและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองซึ่งผู้ค้ำประกันยอมชดใช้ต่างหากและยอมให้ทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันถึงหนี้อุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ผู้ค้ำประกันจะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีและนำส่งชำระทุก ๆ เดือนภายในวันสิ้นเดือนเสมอไป ในกรณีมีการผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามบัญชีเดินสะพัด ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ กล่าวคือนำเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไปรวมเป็นต้นเงินสมทบเข้ากับต้นเงินที่เป็นหนี้อยู่ในขณะนั้น แล้วคิดดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ก็มีข้อความระบุให้ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองสำหรับหนี้ต้นเงินที่เกินจำนวนเงินค้ำประกนไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ค้ำประกันย่อมต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงเท่าที่ตนยอมค้ำประกัน ข้อสัญญาที่ให้ผู้รับจำนองค้ำประกันมีสิทธิบังคับจำนองสำหรับหนี้เงินที่เกินวงเงินจำนองค้ำประกันด้วยนั้น เป็นการให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเกินกว่าที่ตนยอมค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินที่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๙ ในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๙ ในวงเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ปรากฏตามบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้หมดและกลับเป็นเจ้าหนี้โจทก์แล้วเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ต่อมาวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จึงได้กลับเป็นลูกหนี้โจทก์อีกเป็นเงิน ๑๖,๐๓๑ บาท ๖๙ สตางค์ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันนี้ ดอกเบี้ยที่ทบเข้ากับต้นเงินนั้นถือเป็นต้นเงินต่อไป วิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นเพื่อให้ผู้ค้ำประกันรับผิดจึงต้องดูรายการบัญชีเดินสะพัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เป็นต้นไป และถือเอารายการที่จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้แทนโจทก์เต็มตามวงเงินที่ค้ำประกันเป็นวันเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยทบต้น ปรากฏตามรายการบัญชีเดินสะพัดว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เป็นเงิน ๔๒,๐๓๑ บาท ๖๙ สตางค์ จึงให้ถือเอาวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เป็นวันเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ อันเป็นวันสุดท้ายที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ต่อกจานั้นให้คิดดอกเบี้ยตามปกติโดยวิธีเดียวกันนี้ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เป็นต้นไป
ส่วนจำเลยที่ ๔ ผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ เช่นเดียวกันแต่มิได้ฎีกานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๒ วรรคท้าย จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ ๔ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ และ ๒๔๗ โดยให้เริ่มคิดดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๗๑,๖๙๙ บาท ๔๓ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๒ จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ในจำนวนเงินดังกล่าว ให้จำเลยอื่นร่วมรับผิดด้วย ดังนี้ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดในต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามปกติจากต้นเงินที่รวมดอกเบี้ยทบต้นเข้าด้วยแล้วในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๒ จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้นำเงินจำนวน ๕๑,๘๓๕ บาท มาวางศาลเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าปรากฏว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดเมื่อคำนวณถึงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ไม่เกินจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๒ นำมาวางศาลแล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยต่อจากวันที่นำเงินมาวางศาลอีกต่อไป ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธุ์ ๒๕๒๐ จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ต่อจากนั้นให้คิดดอกบี้ยตามปกติในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดในต้นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามปกติในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ชำระหนี้ ให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ต้องร่วมรับผิดให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ จนกว่าจะครบจำนวนหนี้ที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share