คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3924/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมสิ้นสุดลง แต่จำเลยกับสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยก็มิได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจึงยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละ 1 ปี จนกว่าจะได้มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 12 การนัดหยุดงานเป็นเพียงการที่ลูกจ้างร่วมกันหยุดงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน หามีผลทำให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างสิ้นสุดลง ทั้งเงินช่วยเหลือค่าทำศพเป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้เมื่อลูกจ้างถึงแก่กรรมมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ จึงเป็นสวัสดิการที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานตามปกติ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าทำศพให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิวาสุริยันต์ นายทิวาเป็นลูกจ้างของจำเลย ต่อมานายทิวาถึงแก่กรรม โจทก์ในฐานะบิดาชอบด้วยกฎหมายจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทำศพจำนวน20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินค่าทำศพของนายทิวาเนื่องจากนายทิวาถึงแก่กรรมในขณะที่สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยใช้สิทธินัดหยุดงาน ซึ่งมีผลทำให้สภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับลูกจ้างสิ้นสุดลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2528 สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2530หลังจากนั้นจำเลยกับสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยยังมิได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้นใหม่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจึงมีผลใช้บังคับคราวละ 1 ปี เรื่อยมา ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 12 วรรคสองนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างที่ลูกจ้างใช้สิทธินัดหยุดงานเท่านั้น โจทก์ฟ้องเรียกเงินช่วยเหลือค่าทำศพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม ซึ่งตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวจำเลยจะจ่ายให้เมื่อลูกจ้างถึงแก่กรรมโดยมิได้กำหนดว่าจะต้องถึงแก่กรรมระหว่างที่ทำงานให้แก่จำเลยเท่านั้น เงินช่วยเหลือค่าทำศพจึงเป็นสวัสดิการที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานตามปกติ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพให้โจทก์ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2528 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31สิงหาคม 2530 ก็ตาม แต่หลังจากนั้นจำเลยและสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยก็ยังมิได้มีการเจรจาทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจึงยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละ 1 ปี จนกว่าจะได้มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันใหม่ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 12การที่สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยแจ้งข้อเรียกร้องใหม่ต่อจำเลยเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมสวัสดิการ แต่การเจรจาก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ข้อเรียกร้องใหม่จึงยังไม่มีผลเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแทนข้อตกลงเดิม ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม คือฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2528 จึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ แม้ก่อนนายทิวาจะถึงแก่กรรมจะมีการนัดหยุดงานก็ตาม แต่การนัดหยุดงานก็เป็นเพียงการที่ลูกจ้างร่วมกันหยุดทำงานชั่วคราว เนื่องจากข้อพิพาทแรงงานเท่านั้น หามีผลทำให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างจำเลยกับลูกจ้างสิ้นสุดลงอย่างใดไม่ นายทิวาจึงยังเป็นลูกจ้างของจำเลยขณะที่ถึงแก่กรรม อีกทั้งเงินช่วยเหลือค่าทำศพเป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้เมื่อลูกจ้างถึงแก่กรรมมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างได้ทำ เงินช่วยเหลือค่าทำศพจึงเป็นสวัสดิการที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานตามปกติ และตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวข้างต้น กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพลูกจ้างที่ถึงแก่กรรมศพละ 20,000 บาท จำเลยจึงต้องจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพแก่โจทก์ 20,000 บาท และเนื่องจากจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัด จำเลยจึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามฟ้องแก่โจทก์ด้วย
พิพากษายืน

Share