คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ปิกอัพมาจอดที่หน้าบ้าน น. แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.น้องภริยาจำเลยที่ 1 ลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้าน น. ไล่ตีทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ แม้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เพียงแต่ถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2ร่วมไปกับจำเลยอื่นและพวกแล้วถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยในขณะที่จำเลยอื่นและพวกไล่ตีทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้พฤติการณ์ส่อแสดงว่า จำเลยที่ 2 พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในขณะที่จำเลยอื่นและพวกกระทำผิดดังกล่าว มีลักษณะเป็นการสมคบแบ่งหน้าที่ร่วมกันกระทำ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยอื่นและพวกบุกรุกเข้าไปในเคหสถานและทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,365(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 364,83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 80, 364, 365, 83, 91 ริบไม้ท่อนของกลาง 3 ท่อน
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365, 83, 90 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 เดือน ริบของกลางยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องด้วย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1ไว้ 1 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ด้วย และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 365, 83 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่
สำหรับความผิดของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ปิคอัพมาจอดที่หน้าบ้านนางน้อยพลสว่าง แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายเสถียร ชาวงศ์ น้องภริยาจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปไล่ตีทำร้ายผู้เสียหายจริง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยแต่ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 โดยไม่ปรับบทตามมาตรา 364 ด้วยย่อมไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 365 มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัว สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 แม้จะได้ความว่าขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2เพียงแต่ถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยโดยไม่ได้ทำร้ายผู้ใดก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ร่วมไปกับจำเลยที่ 1และพวกแล้วถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยในขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกไล่ตีทำร้ายผู้เสียหายเช่นนี้ พฤติการณ์ส่อแสดงว่าจำเลยที่ 2 พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในขณะที่จำเลยที่ 1กับพวกกระทำความผิดดังกล่าว มีลักษณะเป็นการสมคบแบ่งหน้าที่ร่วมกันกระทำข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และพวกบุกรุกเข้าไปในเคหสถานและทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 364, 83ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นกัน แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจและผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย นับได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น จึงมีเหตุอันควรปรานีอีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโทษจำคุกมาก่อนด้วย สมควรรอการลงโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 364, 83เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 365ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 3 เดือน และรอการลงโทษจำเลยที่ 1และที่ 2 ไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share