แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมให้ใช้ค่าเสียหาย เป็นคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธในวันนัดสืบพยานโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 6,000 บาท กับค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้จำนวน 6,000 บาท และไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้รวมอยู่ด้วย ทั้งยังมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตรวมอยู่อีกด้วย เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามข้อ (3) และข้อ (4) ของตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้น 300 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2532 เวลากลางวันถึงวันที่ 5 กันยายน 2532 เวลากลางวัน ติดต่อกัน จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โดยนำรถไถติดเครื่องยนต์แบบเดินตามไปไถในที่ดินดังกล่าว เพื่อทำนาปลูกข้าวและเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์บางส่วนเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์บางส่วน การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ควรจะได้รับจากการทำนาปลูกข้าวในที่ดินที่จำเลยบุกรุกในปี 2532เป็นเงิน 6,000 บาท เหตุเกิดที่ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำจังหวัดพิษณุโลก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363,365, 83 และบังคับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ตามฟ้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 6,000 บาท และค่าเสียหายปีละ6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำกินมานานเกิน 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 การที่จำเลยนำรถเข้าไปไถที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาเพียงว่า ในการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในคดีอาญาลอย ๆ โดยศาลจดให้ จะถือว่าจำเลยปฏิเสธในคดีส่วนแพ่งด้วยไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยไม่ได้ทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน 8 วัน นับแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การได้หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขอให้ขับไล่จำเลยกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกภายใน 7 วัน จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่งแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยไว้ จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
อนึ่ง คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานี้ เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ขำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 6,000 บาทกับค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท ทุกปีจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำนวน 6,000 บาท และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย ทั้งยังมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตรวมอยู่อีกด้วยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน และโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามข้อ (3) และข้อ (4) ของตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้น 300 บาท แต่ปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาจำนวน 380 บาท โจทก์จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมา
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่โจทก์เสียเกินมาให้โจทก์