คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โดยถือเอาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 13777 ของจำเลยที่มีไว้กับโจทก์เพื่อเดินสะพัดบัญชีกับโจทก์ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2526 จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 3,256,239.21 บาท จำเลยได้จำนองที่ดินและเครื่องจักรเป็นประดับหนี้ดังกล่าว หนี้ถึงกำหนดแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้หากไม่ชำระให้ครบ ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินยังไม่ชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ คำฟ้องดังกล่าวถือว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำของบีงคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้าหาครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ สาขาเยาวราช โดยมีบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เลขที่ ๑๓๗๗๗ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๐ จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ สาขาเยาวราช วงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ ๑ ของเดือนและยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีทางการค้าของโจทก์ และตกลงใช้บัญชีเลขที่ ๑๓๗๗๗ เป็นบัญชีเดินสะพัด ต่อมาวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๓ จำเลยตกลงให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒ จนถึงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๓ และเป็นร้อยละ ๑๘ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปได้มีการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีออกไป ๒ ครั้ง ครั้งสุดท้ายถึงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ กับได้รับรองยอดหนี้ว่าเพียงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๓ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๒,๐๕๙,๒๘๗.๑๖ บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าว จำเลยได้จำนองที่ดินและเครื่องจักร ๑๓ เครื่องไว้กับโจทก์ หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอใช้หนี้จำเลยยอมรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์จนครบ ตั้งแต่ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วจำเลยเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งเพียงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ๓,๒๕๖,๒๓๙.๒๑ บาท โจทก์ทวงถามและแจ้งการบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓,๒๕๖,๒๓๙.๒๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การต่อสู้คดี และให้การด้วยว่าฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๒,๑๗๔,๘๐๐.๘๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๘ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕ และดอกเบี้ยธรรมดาไม่ทบต้นร้อยละ ๑๘ ต่อปีในต้นเงินซึ่งรวมดอกเบี้ยทบต้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ใช้ให้ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่โจทก์หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอใช้หนี้ ให้จำเลยรับผิดใช้หนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๑,๙๙๗,๔๑๑.๕๘ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือนในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๓ จนถึงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ และดอกเบี้ยธรรมดาแบบไม่ทบต้นอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ในต้นเงินซึ่งรวมดอกเบี้ยทบต้นแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นแรกที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๐ (หรือเอกสารหมาย จ.๑๐) โดยถือเอาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ ๑๓๗๗๗ ของจำเลยที่มีไว้กับโจทก์เพื่อเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ถึงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน ๓,๒๕๖,๒๓๙.๒๑ บาท จำเลยได้จำนองที่ดินและเครื่องจักรเป็นประกันหนี้ดังกล่าว หนี้ถึงกำหนดแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้หากไม่ชำระให้ครบ ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินยังไม่พอชำระหนี้ ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ คำฟ้องดังกล่าวถือว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นที่สอง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพิ่มจากร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี เป็นร้อยละ ๑๕ ต่อปี และร้อยละ ๑๘ ต่อปี ตามข้อตกลงในเอกสารหมาย จ.๑๑ ได้หรือไม่นั้น ปรากฏตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ยินยอมทำความตกลงกับโจทก์โดยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามเอกสารหมาย จ.๑๑ จริง แต่จำเลยต่อสู้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเพิ่มดอกเบี้ยย้อนหลัง เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ตรวจเอกสารหมาย จ.๑๑ แล้ว เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
พิพากษายืน.

Share