แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่คู่ความจะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา207 ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 จะต้องเป็นคู่ความซึ่งศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณา พอถือได้ว่าจำเลยมุ่งหมายจะให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้ว ให้จำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบตามที่จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ จึงต้องพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่
ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153ซึ่งใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีมีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้วจะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้นตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว
จำเลยเคยได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีมาแล้ว 2 ครั้ง โดยปกติจำเลยไม่มีสิทธิขอเลื่อนคดีได้อีก ที่จำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีในนัดที่ 3 โดยอ้างว่าจำเลยป่วยมีอาการท้องร่วงเช่นเดียวกับครั้งที่ 2 แม้จะมีใบรับรองแพทย์และท้ายคำร้องจะระบุว่า “เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรดอนุญาต”คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยทั้งสองเช่นนี้ มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรม จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ในการเลื่อนคดีครั้งที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นได้กำชับทนายความจำเลยว่า หากจำเลยขอเลื่อนคดีอีกไม่ว่าด้วยเหตุใด จะถือว่าจำเลยประวิงคดีและจะงดสืบพยานจำเลย แต่จำเลยก็หาได้นำพาไม่ และจำเลยก็ไม่ได้นำพยานอื่นมาศาล ทั้งที่ตามบัญชีพยานจำเลยระบุพยานนำไว้หลายปากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองส่อถึงความไม่เอาใจใส่หรือไม่ให้ความสำคัญแก่คดีของจำเลยเท่าที่ควรถือได้ว่าจำเลยทั้งสองประวิงคดี
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีติดต่อกันหลายนัด ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสองประวิงคดี ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ ขอให้ไต่สวนคำร้องและให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุไต่สวนคำร้องหรือพิจารณาใหม่ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุสมควรไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า กรณีที่คู่ความจะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓ นั้น จะต้องเป็นคู่ความซึ่งศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณา และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีหลายนัด นัดสุดท้ายศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสองประวิงคดีจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง กรณีไม่ใช่เรื่องศาลสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองจะขอให้พิจารณาใหม่ตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาจากฎีกาจำเลยทั้งสองที่ขอให้ไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาแล้วพอจะถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมุ่งหมายจะให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีแล้ว ให้จำเลยทั้งสองนำพยานเข้าสืบตามที่จำเลยทั้งสองได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ จึงต้องพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสองชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๐ วรรคหนึ่ง ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓ ซึ่งใช้บังคับในขณะที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีบัญญัติว่า “เมื่อศาลได้กำหนดวันนั่งพิจารณาและแจ้งให้คู่ความทราบแล้ว ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเหตุจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการนั่งพิจารณาต่อไป โดยเสนอคำขอในวันนั้นหรือก่อนวันนั้นศาลจะสั่งให้เลื่อนต่อไปก็ได้ แต่เมื่อศาลได้สั่งให้เลื่อนไปแล้วคู่ความฝ่ายนั้นจะขอเลื่อนการนั่งพิจารณาอีกไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้และคู่ความฝ่ายที่ขอเลื่อนแสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรม ก็ให้ศาลสั่งให้เลื่อนคดีต่อไปได้เท่าที่จำเป็น แม้จะเกินกว่าหนึ่งครั้ง” บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้วจะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้นตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติดังกล่าวการขอเลื่อนคดีนัดที่เป็นปัญหานี้คือ นัดวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๐ มิใช่การขอเลื่อนคดีครั้งแรกของจำเลยทั้งสองเพราะก่อนหน้านี้จำเลยทั้งสองเคยได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๐ จำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่า จำเลยที่ ๒ติดธุระสำคัญที่กรุงเทพมหานคร มาเบิกความเป็นพยานไม่ได้ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒กันยายน ๒๕๔๐ จำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ป่วยมีอาการท้องร่วงไม่สามารถมาเบิกความเป็นพยานได้ การเลื่อนคดีนัดที่เป็นปัญหาเป็นการขอเลื่อนคดีครั้งที่ ๓ โดยปกติจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิขอเลื่อนคดีได้อีก ที่จำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีในนัดนี้โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ป่วยมีอาการท้องร่วงเช่นเดียวกับครั้งที่ ๒แม้จะมีใบรับรองแพทย์และท้ายคำร้องจะระบุว่า “เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลได้โปรดอนุญาต” คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยทั้งสองเช่นนี้ มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรม จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ในการเลื่อนคดีครั้งที่ ๑และที่ ๒ ศาลชั้นต้นได้กำชับทนายความจำเลยทั้งสองว่า หากจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีอีกไม่ว่าด้วยเหตุใด จะถือว่าจำเลยทั้งสองประวิงคดีและจะงดสืบพยานจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองก็หาได้นำพาไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ป่วยมีอาการท้องร่วง ไม่สามารถมาศาลได้ แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้นำพยานอื่นมาศาล ทั้งที่ตามบัญชีพยานจำเลยทั้งสองระบุพยานนำไว้หลายปากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองส่อถึงความไม่เอาใจใส่หรือไม่ให้ความสำคัญแก่คดีของจำเลยทั้งสองเท่าที่ควรถือได้ว่าจำเลยทั้งสองประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.