คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น ผู้ใดหามีกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองแต่การใด ไม่.
แต่เมื่อมีผู้ไปปลูกโรงเรือนอยู่ในที่สาธารณะสมบัติดังกล่าวแล้ว มีผู้อื่นไปรื้อเสียแล้วปลูกโรงของคนขึ้นแทนบ้าง เช่นนี้ ย่อมถือว่าเป็นการรบกวนสิทธิของผู้ปลูกโรงเรือนคนแรกในอันที่จะใช้ที่สาธารณะสมบัตินั้น และถือว่า ผู้ปลูกโรงเรือนคนแรกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงย่อมมีสิทธิฟ้องให้ผู้ปลูกโรงเรือนทีหลัง รื้อโรงเรือนที่ปลูกนั้นไปให้พ้นที่นั้นได้
ประชุมใหญ่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปกครองดูแลและปลูกโรงขึ้นในที่พิพาท เพื่อเฝ้าดูแลรักษาไม้ของโจทก์ด้วยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลา ๑๓-๑๔ ปี ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้บังอาจใช้คนรื้อโรงที่โจทก์ปลูกไว้ แล้วปลูกโรงของจำเลยที่ ๑ ขึ้นแทน จำเลยที่ ๒ เป็นเทศบาลได้ให้จำเลยที่ ๑ เช่าที่พิพาท โจทก์จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อโรงออกไป ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะสมบัติอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๐๔(๑) โจทก์คงมีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยแย่งการครอบครองโดยมิได้มีฐานะเป็นแผ่นดิน ย่อมไม่มีอำนาจทำได้ จึง
พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้จำเลยที่ ๑ รื้อโรงออกไปและเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับเมืองใช้ร่วมกันเช่นนี้ โจทก์หามีกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองแต่ประการใดไม่ แม้เทศบาลเชียงใหม่จำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีอำนาจให้จำเลยที่ ๑ หรือผู้ใดเช่า การที่จำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีอำนาจให้จำเลยที่ ๑ หรือผู้ใดเช่า การที่จำเลยที่ ๑ ได้รื้อโรงของโจทก์ แล้วกลับปลูกโรงใหม่ขึ้นแทน ถือได้ว่าเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ในอันที่จะใช้ที่พิพาท และโดยที่ที่พิพาทอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ๆ ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ย่อมมีสิทธิให้จำเลยที่ ๑ รื้อโรงออกไปให้พ้นที่พิพาทได้ จึงพิพาทยืนในข้อที่ให้จำเลยที่ ๑ รื้อโรงออกไป

Share