คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะได้ความตามคำเบิกความของ ส. พยานโจทก์และคำวินิจฉัยของศาลล่างว่าพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองขาดเจตนา กระทำความผิดดังที่จำเลยฟ้อง แต่จำเลยก็ฟ้องโจทก์ทั้งสอง เป็นคดีอาญาไปตามความเข้าใจของจำเลยตามที่พบเห็นมา จึงเป็น การขาดเจตนากระทำผิดฐานฟ้องเท็จ การกระทำของจำเลยไม่เป็น ความผิดฐานฟ้องเท็จ คดีโจทก์ไม่มีมูล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองในชั้นนี้ว่า คดีมีมูลหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าแต่เดิมจำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันต่อศาลชั้นต้นโดยกล่าวหาว่า โจทก์ที่ 2 กระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ส่วนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยละเว้นไม่จับกุมโจทก์ที่ 2 ซึ่งกระทำความผิดซึ่งหน้า ซึ่งตามคำฟ้องของจำเลยไม่เป็นความจริง คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ในความผิดฐานฟ้องเท็จ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าคดีมีมูลข้อเท็จจริงได้ความว่า ข้อหาฐานวิ่งราวทรัพย์เกิดในบริษัทคฑาสิน จำกัด ซึ่งในวันเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองเข้าไปขอยืมใบแจ้งหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ของบริษัทดังกล่าวจากจำเลยซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท สำหรับสาเหตุที่โจทก์ทั้งสองขอยืมเอกสารดังกล่าวได้ความว่ากรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าวและภริยาซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยหลบหนีคดีอาญาเรื่องเช็คที่โจทก์ที่ 1 ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ โจทก์ทั้งสองอ้างว่าตามวิสัยของปุถุชนโดยทั่วไป โจทก์ทั้งสองซึ่งมีความสนิทสนมกับจำเลยและนายจ้างของจำเลยมาก่อน นำใบแจ้งหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยไปถ่ายเอกสารย่อมแสดงได้ว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีเจตนาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์คือใบแจ้งหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ ทั้งโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีหน้าที่ต้องจับกุมโจทก์ที่ 2 เพราะโจทก์ที่ 2 มิได้กระทำความผิดแต่อย่างใดซึ่งจำเลยก็ทราบดีการที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในข้อหาฐานวิ่งราวทรัพย์และข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตจึงเป็นเท็จนั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว แม้จะได้ความตามคำเบิกความของนางสาวเสาวคนธ์จิตรัตน์ พยานโจทก์ และคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองว่าพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองขาดเจตนากระทำความผิดดังที่จำเลยฟ้องแต่จำเลยก็ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีอาญาตามฟ้องไปตามความเข้าใจของจำเลยเองตามที่พบเห็นมาซึ่งนับว่าขาดเจตนากระทำผิดฐานฟ้องเท็จเช่นกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีไม่มีมูลนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share