คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนทราบว่ารถยนต์นั้นถูกคนร้ายลักมาจึงได้ยึดรถยนต์ดังกล่าวแล้วส่งไปให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่เกิดเหตุเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยไม่ได้เป็นผู้มอบรถยนต์ไปเองการที่จำเลยไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ก็เพราะเชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์ถูกคนร้ายลักมาตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก จำเลยทั้งสองเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวไป มีข้อสัญญาว่าจำเลยทั้งสองจะไม่ทำการจำหน่ายจ่ายโอน หรือยินยอมให้ผู้อื่นครอบครองหรือใช้ประโยชน์รถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นอันขาด จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 155,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ได้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปจากจำเลยทั้งสอง อ้างว่าเป็นรถยนต์ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทราบจึงเตือนจำเลยมิให้ยินยอมส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่บุคคลใดอีกเป็นอันขาด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน ได้มารับรถยนต์คันดังกล่าวไปจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ เพื่อนำไปเป็นของกลางประกอบคดี และต่อมามีผู้อ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของโจทก์ ขอรับรถจากเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่มีหลักฐานความเป็นเจ้าของ พนักงานสอบสวนเรียกจำเลยไปสอบถามว่าจะคัดค้านประการใดหรือไม่ จำเลยไม่คัดค้านกลับยินยอมให้บุคคลดังกล่าวรับรถยนต์ไปโดยไม่สอบถามหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดและผิดสัญญาข้อ 5 และข้อ 7 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 417,500 บาท
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า รถยนต์ตามฟ้องเป็นของนายวิชัย หาญเศรษฐการซึ่งถูกลักไป แล้วถูกเปลี่ยนแปลงหมายเลขทะเบียนและหมายเลขคัตซี จำเลยได้เช่าซื้อรถดังกล่าวจากโจทก์จริง ซึ่งต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ยึดไปเพื่อตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจปรากฏว่านายวิชัยเป็นเจ้าของรถที่แท้จริง จำเลยทั้งสองพยายามติดต่อแจ้งให้โจทก์ทราบแต่โจทก์หลบหนี โจทก์ไม่เคยเตือนจำเลยทั้งสองมิให้มอบรถยนต์ให้แก่ผู้อื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ได้มอบรถคืนแก่นายวิชัยเจ้าของที่แท้จริงไปหาใช่จำเลยทั้งสองเป็นผู้มอบไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ยึดรถตามฟ้องไว้เพราะเป็นรถที่ถูกลักมาแล้วต่อมาได้มอบรถให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลเตาปูนไปเพื่อประกอบการดำเนินคดีในเรื่องที่รถยนต์ถูกลักมา การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถไปดังกล่าวเป็นอำนาจที่ทำได้ตามกฎหมายไม่จำต้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถให้ความยินยอม ดังนั้นแม้ว่าจำเลยจะได้เซ็นมอบรถให้ไป ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถไปเป็นการรบกวนขัดสิทธิของจำเลยผู้เช่าซื้อในการที่จะครองทรัพย์ไว้อันเป็นการรอนสิทธิ ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลย ดังนั้นการที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์นับแต่รถถูกยึดไปจึงไม่เป็นการผิดสัญญา จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ยึดรถยนต์พิพาทไปจากจำเลยเพื่อตรวจสอบว่าเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมาหรือไม่เมื่อตรวจสอบแล้วมีเหตุให้สงสัยว่าเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมา จึงได้มอบรถยนต์ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลเตาปูนไปประกอบการดำเนินคดีในคดีที่รถถูกลักมาการยึดและมอบรถยนต์เช่นนี้ เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทำได้ตามกฎหมาย ไม่จำต้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองให้ความยินยอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารหมายล.2 โดยไม่เถียงกรรมสิทธิ์ในการมอบรถต่อพนักงานสอบสวน เพราะปรากฏข้อเท็จจริงว่าจะเป็นรถที่ถูกลักมา จึงเป็นการกระทำไปโดยสุจริตหาเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายไม่ กรณีจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่เป็นผู้มอบรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลเตาปูนไปเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 หาได้เป็นผู้มอบรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลเตาปูนไปเองไม่ การที่จำเลยที่ 2ไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทก็เพราะเชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ของนายวิชัยที่ถูกคนร้ายลักมา แล้วได้มีการปลอมแปลงหมายเลขประจำเครื่องหมายเลขคัตซี และปลอมแปลงทะเบียนตามที่เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนั้น ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share