คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำว่า “ไอ้เปรตไอ้เฒ่าบ้าแก่จะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติ แถมบ้าเมียไม่สมแก่ไอ้หัวล้าน” ต่อหน้าบุคคลอื่นย่อมทำให้ผู้ได้ยินฟังเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี บ้าสมบัติบ้าผู้หญิง ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวไม่เพียงแต่หยาบคายและเป็นคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้น หากแต่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์ย่อมจะเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)
แม้สารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินจะระบุว่า อ. ขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ชำระราคาที่ดินโดยให้จำเลยบุตรของโจทก์เป็นผู้รับโอนในฐานะผู้ซื้อเนื่องจากโจทก์ประสงค์จะยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยเพราะเป็นการนำสืบถึงเหตุแห่งความจริงเกี่ยวกับเจตนาของโจทก์ผู้ให้และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับการยกให้ การจดทะเบียนก็ยังคงเป็นการจดทะเบียนขายที่ดินของ อ. ให้โจทก์ เพียงแต่ระบุชื่อผู้ซื้อเป็นจำเลย ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินให้เท่านั้น หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาของจำเลย โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หารวม 4 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงต่อหน้าบุคคลอื่นหลายคนว่า “ไอ้เปรต ไอ้เฒ่าบ้า แก่อี้ตายจะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติ แถมบ้าเมียเหลย ไม่สมแก่ ไอ้หัวล้าน” หลังจากวันดังกล่าวจำเลยยังหมิ่นประมาทโจทก์ต่อนางเยาวลักษณ์ ศรีจันทร์ ว่า “เปรตอี้ตาย เฒ่าอี้ตาย ยังหาทนายฟ้องกูเหลยอย่าหาทนายให้หมัน” อันเป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 4 แปลง ดังกล่าวคืนโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินทั้ง 4 แปลง ดังกล่าว เว้นแต่สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ก่อนได้รับการยกให้จากโจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1684 หมู่ที่ 6 เลขที่ 44 หมู่ที่ 2 และเลขที่ 139 หมู่ที่ 6 ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา กับที่ดินโฉนดเลขที่ 20812 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เว้นแต่สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ก่อนได้รับการยกให้จากโจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าวคืนโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยเพื่อประกอบการเลี้ยงชีพเป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตรเพื่อนำไปทำมาหาเลี้ยงชีพนั้น เป็นการให้ทรัพย์สินแก่บุตรโดยเสน่หาหาใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 535(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้น นอกจากนี้ในการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยก็ระบุไว้ในสารบัญจดทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 ว่าเป็นการให้ไม่มีค่าตอบแทนแต่อย่างใด เพราะผู้รับให้เป็นบุตร จำเลยจะอ้างว่าที่ระบุการให้เช่นนั้น เป็นแต่เพียงกระทำขึ้นตามระเบียบปฏิบัติของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย มิได้กระทำไปตามเจตนาแห่งการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาหาได้ไม่ จึงต้องฟังว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยดังกล่าวเป็นการให้ทรัพย์สินโดยเสน่หาที่จำเลยฎีกาว่าเป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยานั้นฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการที่ 2 ว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า นายสงบ บัวคง นายประชา อินช่วย และนายสว่าง แสงอำไพ พยานโจทก์ล้วนรู้จักสนิทสนมกับโจทก์และจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ดังกล่าวมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอันจะทำให้มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ส่วนจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความปฏิเสธว่าไม่ได้หมิ่นประมาทโจทก์เท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวว่าจำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำว่า “ไอ้เปรต ไอ้เฒ่าบ้า แก่จะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติ แถมบ้าเมีย ไม่สมแก่ ไอ้หัวล้าน” และถ้อยคำว่า “ไอ้เปรต ไอ้เฒ่า ไอ้หัวดอ ตายกับหีอีคลี่” ต่อหน้าบุคคลอื่น การที่จำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำเช่นนั้นผู้ได้ยินฟังย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี บ้าสมบัติ บ้าผู้หญิง ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวไม่เพียงแต่หยาบคายและเป็นคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้น หากแต่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง อันถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์ย่อมจะเรียกถอนคืนการให้ที่ดินทั้ง 4 แปลง จากจำเลยได้ตามมาตรา 531(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่จำเลยฎีกาว่ามิได้หมิ่นประมาทโจทก์ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการที่ 3 ว่า ที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินจากนายอุทัย เสน่หา แล้วให้นายอุทัยโอนผ่านให้จำเลยเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารจึงรับฟังไม่ได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้สารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.6 จะระบุว่านายอุทัย เสน่หา ขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ชำระราคาที่ดิน โดยให้จำเลยบุตรของโจทก์เป็นผู้รับโอนในฐานะผู้ซื้อเนื่องจากโจทก์ประสงค์จะยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย เพราะเป็นการนำสืบถึงเหตุแห่งความจริงเกี่ยวกับเจตนาของโจทก์ผู้ให้และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับการยกให้ การจดทะเบียนก็ยังคงเป็นการจดทะเบียนขายที่ดินของนายอุทัยให้โจทก์เพียงแต่ระบุชื่อผู้ซื้อเป็นจำเลยซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินนั้นให้เท่านั้น หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายอุทัยแล้วให้นายอุทัยจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลย ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินโดยจำเลยเป็นผู้ชำระเงินนั้นฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share