แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 บัญญัติว่า อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้…(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้ และมาตรา 533 บัญญัติว่า…หรือเมื่อเวลาได้ล่วงไปแล้วหกเดือนนับแต่เหตุ-เช่นนั้นได้ทราบถึงบุคคลผู้ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่านว่าหาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดว่าในชั่วชีวิตของโจทก์จะขอสิ่งจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีวิตของโจทก์จากจำเลยได้เพียงครั้งเดียว การขาดแคลนสิ่งจำเป็นเพื่อเลี้ยงชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้โจทก์ย่อมขอสิ่งเหล่านั้นจากจำเลยได้เสมอตามความจำเป็นและจำเลยยังสามารถให้ได้ การที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินแก่โจทก์นำไปรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยก่อนโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ประมาณ 1 เดือน ในขณะที่โจทก์ยากไร้และชราภาพโดยมีอายุถึง 84 ปี และจำเลยอยู่ในฐานะจะให้เงินแก่โจทก์ได้ จึงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินจากจำเลยได้โดยคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 14376 ตำบลธรรมามูลอำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 7 ไร่ ให้จำเลยโดยเสน่หาครั้นต้นปี พ.ศ. 2529 จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งต่อหน้าและลับหลัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน จำเลยไม่ยอมเลี้ยงดูโจทก์ซึ่งยากไร้ไม่อาจทำมาหากินได้ ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยขอสิ่งจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพจากจำเลยปฏิเสธ การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาหกเดือนนับแต่โจทก์ทราบถึงเหตุประพฤติเนรคุณ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 14376 ตำบลธรรมามูล อำเภอเมืองชัยนาทจังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 7 ไร่ คืนแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นแก่การเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์เมื่อต้นปีพ.ศ. 2529 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2532 จึงล่วงไปแล้วหกเดือน นับแต่เหตุเช่นนั้นได้ทราบถึงโจทก์ผู้ชอบที่จะเรียกคืนการให้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ แม้โจทก์จะให้นางเฉลา สุวรรณ์มาขอเงินจากจำเลยก่อนฟ้องคดีนี้ 1 เดือน ก็ไม่ทำให้การนับอายุความซึ่งเริ่มนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 สะดุดหยุดลงและไม่เป็นมูลเหตุที่จะต้องนับอายุความขึ้นใหม่และก่อนโจทก์ฟ้องคดี 1 เดือนโจทก์มิได้ป่วย โจทก์ไม่เคยขอเงินจากจำเลยและจำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531 บัญญัติว่า อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้…(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ (3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้ และมาตรา 533 บัญญัติว่า… หรือเมื่อเวลาได้ล่วงไปแล้วหกเดือนนับแต่เหตุเช่นนั้นได้ทราบถึงบุคคลผู้ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่านว่าหาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ ดังนั้น เหตุประพฤติเนรคุณที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องและนำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นแก่การเลี้ยงชีวิตโจทก์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2529 นับถึงวันฟ้องเกินกว่า 6 เดือนจึงขาดอายุความแล้ว โจทก์ย่อมไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อขอถอนคืนการให้ที่ดินจากจำเลยได้ แต่อย่างไรก็ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดว่าในชั่วชีวิตของโจทก์จะขอสิ่งจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีวิตของโจทก์จากจำเลยได้เพียงครั้งเดียว การขาดแคลนสิ่งจำเป็นเพื่อเลี้ยงชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้ โจทก์ย่อมขอสิ่งเหล่านั้นจากจำเลยได้เสมอตามความจำเป็นและจำเลยยังสามารถให้ได้ซึ่งในข้อนี้โจทก์นำสืบว่า ก่อนฟ้องประมาณ 1 เดือน โจทก์ป่วยมีอาการอุจจาระเป็นเลือด ร่างกายบวม นางเฉลาไม่มีเงินพาโจทก์ไปรักษา โจทก์จึงให้นางเฉลาไปขอเงินจากจำเลยเป็นค่ารักษาแต่จำเลยไม่ยอมให้ ซึ่งนางเฉลาพยานโจทก์มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังที่โจทก์นำสืบ และว่าจำเลยไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนโจทก์โจทก์ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ๆ และไม่มีรายได้ทางอื่น เมื่อพิจารณาถึงว่า โจทก์มีอายุ 80 ปีเศษ นับว่าชราภาพมากแล้วร่างกายย่อมทรุดโทรมไม่แข็งแรงย่อมต้องมีการเจ็บป่วยเป็นปกติ พยานหลักฐานของโจทก์น่าเชื่อว่าก่อนฟ้องคดีนี้ประมาณ 1 เดือน โจทก์ป่วยไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาลจึงขอเงินจากจำเลยไปรักษาตัว แต่จำเลยไม่ยอมให้ซึ่งจำเลยเบิกความว่าเคยนำเสื้อผ้า ผลไม้ไปให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับ ตามคำเบิกความของจำเลยไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยให้เงินโจทก์ไว้ใช้สอยและจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าถ้าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยจะรับอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เหมือนเดิมและจะให้เงินโจทก์ใช้จ่ายเดือนละ 500 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมรับแสดงว่าจำเลยไม่เคยให้เงินโจทก์ใช้สอยในระหว่างที่โจทก์อาศัยอยู่กับนางเฉลา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ไม่เคยป่วยนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานโจทก์ การที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินแก่โจทก์นำไปรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยก่อนโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ประมาณ 1 เดือน ในขณะที่โจทก์ยากไร้และชราภาพโดยมีอายุถึง 84 ปี และจำเลยอยู่ในฐานะจะให้เงินแก่โจทก์ได้ จึงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินจากจำเลยได้โดยคดีโจทก์ส่วนนี้ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน