คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เอกสารซึ่งไม่มีข้อความระบุว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินคงมีแต่ข้อความว่าเป็น “ตั๋ว” จึงขาดสาระสำคัญของตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983(1) เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่ตั๋วสัญญาใช้เงิน แม้ในเอกสารจะไม่มีข้อความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ แต่มีข้อความว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามคำสั่งของโจทก์รวม 25,000 เหรียญสหรัฐแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ในจำนวนเงินดังกล่าว และจำเลยลงชื่อไว้เอกสารดังกล่าว จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164(เดิม)(มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวนเงิน 25,000เหรียญสหรัฐ เป็นเงิน 507,000 บาท โดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี และยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้น เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จำเลยมิได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินจำนวน 64,428.64 เหรียญสหรัฐ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ต้นฉบับเอกสารตามสำเนาท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารปลอมและไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงินแต่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินเรียกร้องให้จำเลยรับผิดฐานผิดสัญญากู้ยืมเงินได้เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือตามที่กฎหมายกำหนดและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เพราะสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 64,428.64เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาข้อแรกที่ว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น เห็นว่าเอกสารหมาย จ.2 นี้ ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าเป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” คงมีแต่ข้อความว่าเป็น “ตั๋ว”เอกสารหมาย จ.2 จึงขาดสาระสำคัญของตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983(1) ที่บัญญัติว่าตั๋วสัญญาใช้เงินจะต้องมีคำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินเช่นนี้เอกสารหมาย จ.2 จึงมิใช่ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้ในเอกสารหมาย จ.2 จะไม่มีข้อความว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ แต่การที่เอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามคำสั่งของโจทก์รวม 25,000 เหรียญสหรัฐ ก็แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ในจำนวนเงินดังกล่าว และหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์นั้นโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าเป็นหนี้เงินกู้ ตามเอกสารหมาย จ.37 ซึ่งนางลัดดา พฤกษ์บำรุง พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยยืนยันว่าเป็นเอกสารที่จำเลยเขียนมาด้วยตัวเองซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้เช่นนั้น ก็มีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับข้อความในเอกสารหมาย จ.35 จ.36 และ จ.38 ถึง จ.40 ซึ่งเป็นหนังสือโต้ตอบระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีข้อความสรุปได้ว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐซึ่งจำเลยไม่นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ 25,000 เหรียญสหรัฐจริง และได้ทำสัญญาจะชดใช้ให้โจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 โดยจำเลยได้ลงชื่อไว้ด้วย เอกสารหมายจ.2 จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่จำเลยกู้จากโจทก์ 25,000เหรียญสหรัฐ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาข้อที่สองที่ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นเห็นว่า เมื่อฟังว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินการที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.2จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา164 (เดิม) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์จำเลยมีข้อพิพาทกัน(มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) และในเรื่องอายุความนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 (เดิม) (มาตรา 193/12 ที่แก้ไขใหม่)บัญญัติว่า อายุความให้นับเริ่มแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย จ.2 กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยงวดแรกซึ่งเป็นดอกเบี้ยสะสมสามปีระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2518 กับวันที่15 มีนาคม 2519 และตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้เบื้องต้น จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระเงินหรือปฏิบัติการชำระหนี้ใด ๆ ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.2 ข้อ (ก)และการผิดนัดดังกล่าวเอกสารหมาย จ.2 ระบุให้มีผลว่าตั๋วหรือเอกสารหมาย จ.2 ถึงกำหนดได้ทันที และจ่ายเงินโดยไม่ต้องทวงถามสุดแล้วแต่ผู้ถือจะเลือกซึ่งมีความหมายว่า โจทก์มีสิทธิเลือกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีโดยไม่ต้องทวงถามก่อน ตั้งแต่วันที่16 มีนาคม 2519 เป็นต้นไป หรือจะยังไม่ให้จำเลยชำระหนี้ก็ได้มิได้มีความหมายว่าตราบใดที่โจทก์ยังไม่ทวงถาม โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 เมื่อโจทก์มีสิทธิให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2519เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2530 นับจากวันที่ 16 มีนาคม 2519ถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share