คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3867/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บริษัท ฮ. ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่โจทก์ในการผลิตกระดาษตามสัญญาที่บริษัท ฮ. ทำไว้กับโจทก์ โดยส่งผู้เชี่ยวชาญ 15 คนเข้ามาประจำอยู่ณ โรงงานโจทก์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 ถึง 2522 บริษัท ฮ. ได้รับเงินค่าธรรมเนียมในการช่วยเหลือดังกล่าว ดังนี้ การที่บริษัท ฮ.ให้ความช่วยเหลือแก่โจทก์มิได้เป็นการประกอบกิจการของบริษัท ฮ.ในประเทศไทย แต่เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่โจทก์ในการประกอบกิจการของโจทก์เอง จึงไม่อาจถือได้ว่าบริษัท ฮ. ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ แต่บริษัท ฮ.ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) ที่จ่ายจากประเทศไทยเพราะเงินดังกล่าวเป็นค่าสิทธิตามความหมายของอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ข้อ 8(2) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายนำส่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70(2) ประกอบอนุสัญญาดังกล่าวข้อ 8(1) และ (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ แต่ไม่ตัดสิทธิเจ้าพนักงานประเมินจะประเมินเรียกเก็บภาษีใหม่ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัทฮอนชูเปเปอร์ จำกัด จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางเทคนิคในการผลิตกระดาษคราฟท์และกระดาษอื่น ๆ กับบริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่น รวม 2 ฉบับ ได้แก่ สัญญาฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2519 และสัญญาฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม2520 หมาย จ.4 และ จ.5 พร้อมคำแปลตามลำดับ และในระหว่างปีพ.ศ. 2519 ถึง 2522 บริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวน 15 ตามรายชื่อและรูปถ่ายหมาย จ.9 และ จ.10 เข้ามาประจำอยู่ที่โรงงานโจทก์เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่โจทก์ตามสัญญาดังกล่าว และในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ได้ส่งเงินค่าธรรมเนียมสำหรับการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจำนวน 28,150,296.89 บาทไปให้บริษัทดังกล่าวโดยโจทก์มิได้หักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายซึ่งเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70(2) และข้อ 8 แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้หมาย ล.1 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 5,067,053.43 บาท แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงฟ้องเป็นคดีนี้ในชั้นชี้สองสถานคู่ความยอมรับกันว่ายอดภาษีที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินไว้เป็นยอดที่ถูกต้อง ปัญหามีเพียงว่าโจทก์มีหน้าที่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายหรือไม่
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย และให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ ปรากฏว่าบริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญของตนเข้ามาให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่โจทก์ในการผลิตกระดาษคราฟท์และกระดาษอื่น ๆ ตามสัญญาที่บริษัทได้ทำไว้กับโจทก์ โดยส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประจำอยู่ในประเทศไทย ณ โรงงานของโจทก์ รวม 15 คน ตั้งแต่ปี 2519 ถึง 2522และบริษัทนี้ได้รับเงินค่าธรรมเนียมในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจากโจทก์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าว เห็นได้ว่าการที่บริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ให้ความช่วยเหลือดังกล่าวแก่โจทก์มิได้เป็นการประกอบกิจการของบริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ในประเทศไทยแต่ประการใด แต่เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่โจทก์ในการประกอบกิจการของโจทก์เอง กรณีนี้จึงไม่อาจถือได้ว่า บริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัดประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิแต่บริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 76 ทวิ แต่บริษัทฮอนซูเปเปอร์ ประเทศไทยให้บริษัทนี้เพราะเงินดังกล่าวเป็นค่าสิทธิตามความหมายของอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ข้อ 8(2) ซึ่งระบุว่าค่าสิทธิหมายถึงค่าสิทธิหรือเงินอื่นใดที่จ่ายให้เป็นค่าตอบแทนการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ สิทธิบัตรแบบแผน กรรมวิธี และสูตรลับเครื่องหมายการค้าหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกัน ฯลฯ ทั้งนี้เพราะตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าบริษัทฮอนซูเปเปอร์ จำกัด ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำและควบคุมกรรมวิธีและแบบแผนในการผลิตกระดาษคราฟท์และกระดาษอื่น ๆ ของโจทก์โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายนำส่งตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70(2) ประกอบอนุสัญญาดังกล่าว ข้อ 8(1) และ (2) สำหรับข้อ 8(1) นั้น ระบุว่าอัตราภาษีสำหรับค่าสิทธิจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share