แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยมิได้ฎีกา แต่ทำคำแก้ฎีกาว่ายังไม่มีการสอบสวนในความผิดฐานนี้ ซึ่งเท่ากับขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นไม่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้นั้น จำเลยจะต้องทำโดยยื่นเป็นคำฟ้องฎีกา การที่จำเลยมีคำขอมาในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,91, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ ริบปลอกกระสุนและหัวกระสุนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพฐานฆ่าผู้อื่น และฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืนไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิวรรคสอง เป็นความผิดสามกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่แก้ไขแล้วฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นจำคุก 4 เดือน จำเลยยอมให้จับกุมและรับสารภาพ ตั้งแต่ชั้นจับกุมสอบสวนจนถึงชั้นศาลว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง คงปฏิเสธว่าไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนเท่านั้น แต่ในคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนได้ให้รายละเอียดอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 2 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ริบปลอกกระสุนและหัวกระสุนของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) จำคุก 30 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้วจำคุก 30 ปี 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาจะวินิจฉัยข้อกฎหมายตามคำแก้ฎีกาของจำเลยเสียก่อนที่ว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเท่านั้น ครั้นส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการแล้วได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยพนักงานสอบสวนไม่ได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม คงใช้พยานหลักฐานที่ได้สอบสวนไว้แล้ว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ซึ่งเป็นไปในทำนองว่ายังไม่มีการสอบสวนในข้อหาใหม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เกี่ยวกับปัญหานี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยแก้ฎีกาว่ายังไม่มีการสอบสวนในความผิดฐานนี้ ซึ่งเท่ากับขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นไม่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ดังนี้ จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีในความผิดฐานนี้ การจะขอให้วินิจฉัยให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในความผิดฐานนี้ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ศาลฎีกาพิพากษาผิดแผกแตกต่างหรือนอกเหนือไปจากที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ จำเลยจะต้องทำโดยยื่นเป็นคำฟ้องฎีกา ถ้าจำเลยไม่ฎีกาแสดงว่าพอใจในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อพอใจแล้วก็ไม่มีเหตุที่จะกลับโต้แย้งในคำแก้ฎีกาอีก เหตุนี้จึงขอมาในคำแก้ฎีกาไม่ได้ทั้งตามสำนวนก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการสอบสวนไม่ชอบจำเลยเพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต่อไปโจทก์ฎีกาว่า ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนี้ จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาล ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตลอดมา แต่ก็เป็นเพราะจำนนต่อหลักฐาน ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ขอไม่ให้ลดโทษแก่จำเลยเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน น่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพราะจำเลยเมาสุราแล้วขาดสติ ซึ่งเป็นข้อที่แสดงว่าจำเลยมีความประพฤติไม่ดี จึงไม่มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยมากถึงขนาดจำคุกจำเลยเพียง 30 ปี ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยโดยให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิตเหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น