แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พวกผู้เสียหายได้เข้ามาชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 2 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 จะเข้าช่วยก็ถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 รัดคอและเอวไว้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับฝ่ายผู้เสียหายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันจำเลยที่ 1 ถูกรัดคอและเอวจนหายใจไม่ออก จึงใช้มีดตัดหญ้าที่ติดตัวมากวัดแกว่งไปเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3ปล่อยตน โดยไม่มีโอกาสที่จะทำให้พ้นภยันตรายที่กำลังได้รับอยู่โดยวิธีอื่น แม้มีดจะแทงถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ใต้รักแร้ขวากับหน้าท้อง และถูกผู้เสียหายที่ 3 ที่หน้าท้องก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 1ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วก็ไม่ได้ทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 เป็นการซ้ำเติมอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุตามพฤติการณ์ที่ประสบอยู่ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 391, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ให้จำคุกคนละ 10 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 1 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2เป็นเวลา 10 ปี 1 เดือน คำขอยื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบมานั้น ฟังได้ต้องกันว่า ผู้เสียหายที่ 2 ถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวา 1ที และที่หน้าท้องอีก 1 ที ผู้เสียหายที่ 3 ถูกแทงที่หน้าท้อง 1 ทีด้วยมีดเล่มเดียวกัน คดีคงมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันแทงผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 โดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ได้พิจารณาคำฟ้องฎีกาของโจทก์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า ก่อนจะแทงมีการโต้เถียงกันและมีการชกต่อยรัดคอกันก่อนซึ่งในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 รัดคอและรัดเอวไว้ จำเลยที่ 1 จึงล้วงมีดตัดหญ้าออกแทงไปข้างหน้าและข้างหลัง ถูกคนที่รัดคอและรัดเอว ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวนั้นโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้ง จึงต้องฟังตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยที่ 1ใช้มีดตัดหญ้าแทงถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ขณะที่ถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 รัดคอและรัดเอวอยู่โดยจำเลยที่ 2 มิได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายทั้งสองแต่อย่างใด โจทก์คงฎีกาในเหตุที่ว่าจำเลยทั้งสองสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน และจำเลยแทงสุดแรงจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันได้ ในข้อนี้ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบมาแล้วได้ความว่า จำเลยทั้งสองและผู้เสียหายทุกคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและรู้จักกันมาก่อน ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกลับจากรับจ้างถางหญ้ามาด้วยกัน ส่วนทางฝ่ายผู้เสียหายนั้นอยู่ตรงบริเวณที่เกิดเหตุโดยอยู่กันหลายคนคือผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 3 นายสำรวล ศรีคงคต และนายไพศาลโดยผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และนายสำรวลเป็นพี่น้องกันเห็นว่าการที่คนสองคนจะเข้าไปหาเรื่องเพื่อวิวาทกับคนที่มีจำนวนมากกว่านั้นดูจะเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย ทั้งยังได้ความจากที่โจทก์จำเลยทั้งสองนำสืบมาว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนยากจนรับจ้างถางหญ้าในวันเกิดเหตุก็กลับมาจากการรับจ้างถางหญ้าให้นายชิด และได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 3 พยานโจทก์ว่า หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยทั้งสองจูงรถจักรยานไปด้วยคันหนึ่ง ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยทั้งสองว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณหกโมงเย็น จำเลยทั้งสองกลับจากรับจ้างตัดหญ้าในนาข้าวของนายชิด จำเลยที่ 2ถีบรถจักรยานมามีจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายมาถึงที่เกิดเหตุเป็นทางขรุขระจึงลงจากรถเดินจูงรถ ทำให้เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองมาในลักษณะดังกล่าวนั้นมินาจะมีเหตุเข้าไปหาเรื่องวิวาทกับฝ่ายผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่ว่าจำเลยที่ 2 เข้าไปชกต่อยผู้เสียหายที่ 1 ก่อนนั้น จึงไม่น่าเชื่อซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้อนี้ไว้ในทำนองที่กล่าว โจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านข้อเท็จจริงในส่วนนี้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปชกต่อยผู้เสียหายที่ 1 ก่อน พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า พวกผู้เสียหายได้เข้ามาชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 2 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 จะเข้าไปช่วยก็ถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 รัดคอและรัดเอวไว้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับฝ่ายผู้เสียหายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน และข้อเท็จจริงในตอนนี้นั้นได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า ผู้เสียหายที่ 2 รัดคอผู้เสียหายที่ 3 รัดเอวจำเลยที่ 1 ไว้ จำเลยที่ 1 ดิ้นไม่หลุดจำเลยที่ 1 เอามีดมาจากไหนไม่ทราบแทงถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3ขณะที่จำเลยที่ 1 ถูกรัดคอและรัดเอวอยู่ ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความในตอนนี้ว่า เมื่อถูกรัดคอและรัดเอวนั้น จำเลยที่ 1 ดิ้นแต่ไม่หลุดและหายใจไม่ออก จึงล้วงมีดตัดหญ้าออกจากกระเป๋าเสื้อแกว่งไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีดถูกคนที่รัดคอและรัดเอว และข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ว่า เมื่อผู้เสียหายที่ 2ที่ 3 ถูกแทงล้มลงไปแล้วนั้น จำเลยที่ 1 คงยืนถือมีดอยู่เฉย ๆ มิได้เข้าไปแทงซ้ำ เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จะเข้าช่วยจำเลยที่ 2 และถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 รัดคอและรัดเอวไว้จนหายใจไม่ออก จึงได้ใช้มีดตัดหญ้าที่ติดตัวมากวัดแกว่งไปเพื่อให้คนที่รัดคอและรัดเอวตนไว้ปล่อย โดยไม่มีโอกาสที่จะทำให้พ้นภยันตรายที่กำลังได้รับอยู่โดยวิธีอื่น และเมื่อจำเลยที่ 1ถูกปล่อยเป็นอิสระก็ไม่ได้กระทำการใดต่อไปที่จะเป็นการทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 เป็นการซ้ำเติม การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุตามพฤติการณ์ที่ประสบอยู่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีความผิด”
พิพากษายืน