แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นบริษัทในต่างประเทศ สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพเป็นกิจการของจำเลยจึงเป็นสาขาของจำเลยเมื่อสาขาดังกล่าวมี สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นและได้ร่วมกระทำการ ในการขนส่งสินค้ารายพิพาท จึงถือว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของ สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพ เป็นภูมิลำเนาของจำเลยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71วรรคสอง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลย ต่อศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่ให้ยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์เรื่องอำนาจฟ้อง แม้จำเลย จะมิได้ยกประเด็นข้ออื่นขึ้นโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ก็หาทำให้ ประเด็นดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เพราะการที่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วยังวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น ต่อไปอีกก็โดยมีความประสงค์ว่าหากศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องจะได้วินิจฉัยประเด็นอื่นไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวน ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็ชอบ ที่จะวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ และจำเลยยกประเด็นดังกล่าวขึ้นฎีกาต่อมาศาลฎีกาจึงสมควร วินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการรับขนของทางทะเลใช้บังคับ และไม่ปรากฏว่ามีประเพณีการขนส่งทางทะเลที่ถือปฏิบัติกันอยู่ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะรับขน อันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625 ห้ามผู้ขนส่งกำหนดข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไว้ในใบรับ ใบตราส่งหรือเอกสารอื่นๆทำนองนั้นเว้นแต่ผู้ส่งจะแสดงความตกลงด้วยชัดแจ้ง เมื่อฟังไม่ได้ว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยแจ้งชัด ข้อความจำกัด ความรับผิดจึงไม่มีผลใช้ยันผู้ส่งได้ และไม่อาจใช้ยันผู้รับตราส่ง ซึ่งได้รับช่วงสิทธิมาจากผู้ส่ง ตลอดจนผู้รับประกันภัยซึ่งรับช่วงสิทธิ ของผู้รับตราส่งมาอีกทอดหนึ่ง
สัญญาประกันภัยมีผลบังคับตั้งแต่ผู้รับประกันภัยตกลงรับประกันภัย และได้ออกหนังสือรับประกันภัยล่วงหน้าให้แก่ผู้เอาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยทำขึ้นก่อนผู้เอาประกันภัยทราบว่าสินค้าสูญหาย แม้ว่าผู้รับประกันภัยจะออกกรมธรรม์ประกันภัยให้หลังจากผู้เอาประกันภัย ทราบว่าสินค้าสูญหายแล้ว สัญญาประกันภัยก็ไม่ตกเป็นโมฆะ
ข้อกำหนดในสัญญาประกันภัยที่ว่าในกรณีวัตถุที่เอาประกันภัยสูญหาย ผู้เอาประกันภัยจะต้องบอกกล่าวให้ตัวแทนของผู้รับประกันภัยทราบ เพื่อทำรายงานสำรวจเสียก่อนมิฉะนั้นจะไม่จ่ายเงินนั้นเป็นวิธีปฏิบัติ เพื่อให้ผู้รับประกันภัยเชื่อถือได้ว่าสินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายจริงเท่านั้น หากผู้รับประกันภัยเชื่อถือได้แน่นอนแล้วจะไม่ถือข้อกำหนดนี้เป็น สาระสำคัญก็ได้หาเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศเดนมาร์ก ประกอบกิจการค้าขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ มีสาขาในประเทศไทยใช้ชื่อว่า สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพ จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในประเทศไทย จำเลยที่ 1 ได้รับจ้างขนสินค้าเครื่องอะไหล่รถยนต์1 ลังไม้จากประเทศสหรัฐอเมริกามาส่งให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ที่กรุงเทพมหานครโดยทางเรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ผู้รับตราส่งได้เอาประกันภัยไว้ต่อบริษัทโจทก์ เมื่อเรือมาถึงท่าเรือกรุงเทพ ปรากฏว่าสินค้าสูญหายไปโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าเสียหายทดแทนให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ไป จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิในอันที่จะเรียกร้องจากจำเลยในฐานะผู้ขนส่งแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ จึงขอให้พิพากษาบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยมิได้มีสำนักทำการงานหรือสาขาในประเทศไทยคงมีแต่ตัวแทนจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลในประเทศไทยจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในประเทศไทย แต่มิได้ทำสัญญารับขนส่งแทนจำเลยที่ 1 ตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศ จึงไม่ต้องรับผิด สินค้าพิพาทมิได้สูญหายในระหว่างการขนส่ง ใบตราส่งจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้ไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐ โจทก์ทำสัญญารับประกันภัยภายหลังจากได้พบการสูญหายของสินค้าแล้ว ถือว่าภัยเกิดขึ้นก่อนที่จะทำสัญญาประกันภัย สัญญาประกันภัยจึงเป็นโมฆะ และผู้เอาประกันภัยมิได้บอกกล่าวให้ผู้รับประกันภัยสำรวจความเสียหายตามข้อกำหนดในสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดตามฟ้อง แต่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นได้ แต่ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ทั้งสองบริษัทมิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นมิได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สายเดินเรือเมอสก์เป็นกิจการของจำเลยที่ 1 ทั้งสองบริษัทที่ประกอบกิจการร่วมกัน สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ จึงเป็นสาขาของจำเลยที่ 1 ทั้งสองบริษัทด้วย เมื่อสาขาดังกล่าวมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 231/2 ถนนสาธรใต้ แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครในเขตศาลชั้นต้น และได้ร่วมกระทำการในการขนส่งสินค้ารายพิพาท จึงถือว่าสำนักงานแห่งใหญ่ของสายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ เป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ทั้งสองบริษัทสำหรับคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 71 วรรคสอง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2)
จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อไปอีกว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยเหตุ4 ประการ คือ สินค้าที่ขนส่งสูญหายไปก่อนที่จะบรรจุเข้าตู้คอนเทนเนอร์ มีเงื่อนไขตามข้อ 5 แห่งใบตราส่งให้จำเลยที่ 1 รับผิดชอบไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ได้เอาประกันภัยหลังจากไม่พบสินค้าแล้ว และห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์มิได้ขอให้โจทก์ออกใบสำรวจความเสียหายตามเงื่อนไขในสัญญาประกันภัยก่อน พิเคราะห์แล้ว แม้เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง แต่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ครั้นโจทก์อุทธรณ์เรื่องอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้ยกประเด็นทั้งสี่ข้อนี้ขึ้นโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ก็ตาม แต่เห็นว่าหาทำให้ประเด็นดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ เพราะการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นแล้วยังวินิจฉัยประเด็นทั้งสี่ต่อไปอีกก็โดยมีความประสงค์ว่า หากศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องจะได้วินิจฉัยประเด็นอื่นไปทีเดียว ไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นเหล่านั้นอีก ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นทั้งสี่ต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้และจำเลยที่ 1 ยกประเด็นทั้งสี่ข้อดังกล่าวขึ้นฎีกาต่อมาศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ปัญหาที่ว่ามีเงื่อนไขตามข้อ 5 แห่งใบตราส่งให้จำเลยที่ 1 รับผิดชอบไม่เกิน500 เหรียญสหรัฐ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเกินจำนวนดังกล่าวนั้น เห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการรับขนของทางทะเลใช้บังคับและไม่ปรากฏว่ามีประเพณีการขนส่งทางทะเลที่ถือปฏิบัติกันอยู่ จึงต้องนำบทบัญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะรับขน ในหมวดรับขนของ อันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 625 ห้ามผู้ขนส่งกำหนดข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไว้ในใบรับใบตราส่งหรือเอกสารอื่น ๆ ทำนองนั้น เว้นแต่ผู้ส่งจะได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้ง ปรากฏว่าข้อความจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งดังกล่าวได้ระบุไว้ด้านหลังของใบขนสินค้าหรือใบตราส่ง เอกสารหมาย จ.6 แต่หามีลายมือชื่อของผู้ส่งสินค้าลงไว้ในเอกสารฉบับนี้ด้วยไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้ง ข้อความจำกัดความรับผิดดังกล่าวไม่มีผลใช้ยันผู้ส่งได้ และไม่อาจใช้ยันห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ผู้รับตราส่ง ซึ่งได้รับช่วงสิทธิมาจากผู้ส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนโจทก์ผู้รับประกันภัยซึ่งรับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาอีกทอดหนึ่งโจทก์จึงหาผูกพันให้ต้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ได้เพียง500 เหรียญสหรัฐ ไม่
ปัญหาที่ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ได้เอาประกันภัยหลังจากไม่พบสินค้าแล้ว การประกันภัยจึงเป็นโมฆะนั้น ได้ความว่าในการประกันภัยรายนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ได้สมัครเอาประกันภัยทางทะเลต่อบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2523 โจทก์ตกลงรับประกันภัยและออกหนังสือรับประกันภัยทางทะเลล่วงหน้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ไว้ มีข้อความว่า โจทก์ตกลงรับประกันภัยไว้ล่วงหน้าในวงเงิน 12,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา สำหรับสินค้าเครื่องอะไหล่รถยนต์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.11 เหตุที่โจทก์ยังไม่ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้เพราะโจทก์ยังไม่ทราบชื่อเรือที่รับขนสินค้าและรายละเอียดอื่น ๆ การเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยโจทก์จะเรียกเก็บหลังจากออกกรมธรรม์ประกันภัยแล้วต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2523 ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ทราบว่าสินค้าที่ห้างสั่งซื้อสูญหายไป ครั้นวันที่ 30 พฤษภาคม 2523 โจทก์จึงออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.12 ดังนี้เห็นว่าสัญญาประกันภัยทางทะเลระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์มีผลบังคับตั้งแต่โจทก์ตกลงรับประกันภัยและได้ออกหนังสือรับประกันภัยทางทะเลล่วงหน้าในวันที่ 7 มีนาคม 2523 แล้ว หาใช่ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์เอาประกันภัยในวันที่โจทก์ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2523 ไม่ สัญญาประกันภัยทำขึ้นก่อนห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ทราบว่าสินค้าสูญหายแล้วและไม่ตกเป็นโมฆะดังจำเลยที่ 1 อ้าง
ปัญหาสุดท้ายที่ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์มิได้ขอให้โจทก์ออกใบสำรวจความเสียหายตามเงื่อนไขในสัญญาประกันภัยก่อนโจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ไปจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ข้อนี้ได้ความว่ากรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงชัยบูลย์ตามเอกสารหมาย จ.12 มีข้อความว่า ในกรณีมีการสูญหายหรือเสียหายแก่วัตถุที่เอาประกันภัย ต้องบอกกล่าวแก่ตัวแทน ในกรณีที่โจทก์ไม่มีตัวแทนก็ให้บอกกล่าวแก่ตัวแทนของลอยด์โดยพลัน และจะต้องได้รับรายงานสำรวจซึ่งลงนามโดยบุคคลดังกล่าว ถ้าปราศจากรายงานการสำรวจนั้นก็จะไม่จ่ายเงินเพื่อการสูญหายหรือเสียหาย เห็นว่า ข้อกำหนดดังกล่าวมีไว้เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้ผู้รับประกันภัยเชื่อถือได้ว่าสินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายหรือเสียหายจริงเท่านั้น หากผู้รับประกันภัยเชื่อถือได้แน่นอนแล้วจะไม่ถือข้อความนี้เป็นสาระสำคัญก็ได้ คดีนี้พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าสินค้าที่เอาประกันภัยไว้สูญหายไปจริงและได้ออกหนังสือรับรองไว้ตามเอกสารหมาย จ.4 โจทก์เชื่อว่าสินค้าสูญหายไปจริงจึงจ่ายค่าสินไหมทดแทนไป หาเป็นการผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ได้
พิพากษายืน