แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยเป็นจำนวนเท่าใดศาลก็กำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงซื้อไม้จากจำเลยทั้งสองโดยวางเงินมัดจำไว้ต่อมาจำเลยนำไม้นั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่ชำระเงินค่าไม้ภายในกำหนดตามสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำและขายไม้แก่บุคคลอื่นได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อฝ่ายใดประพฤติผิดสัญญาฝ่ายนั้นก็มีหน้าที่จะต้องรับผิดในความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดสัญญานั้น และอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 บัญญัติไว้ คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยเอาไม้ที่ตกลงจะขายให้โจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียในขณะที่สัญญายังมีผลผูกพันกันอยู่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ส่วนจำนวนค่าเสียหายนั้น แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจำนวนเท่าใดศาลก็กำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ได้
พิพากษายืน