คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3841/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 บัญญัติว่า บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็น เจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ฯลฯ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ การที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นแม้จะเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดิน ของตนเองก็ตาม หากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ อย่างแท้จริง ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้น เป็นของผู้คัดค้านแล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้ กรรมสิทธิ์ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินของผู้คัดค้าน โดยเข้าใจผิดว่าเป็นของผู้ร้องเองโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนา เป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ใน ที่ดินของผู้คัดค้านตามกฎหมายแล้ว.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมีโฉนดไว้ 4 ฉบับเลขที่ 65248 – 65250 และ 65252 ผู้ร้องได้เข้าปลูกสร้างอาคารสำหรับเป็นที่พักคนงาน และเก็บวัสดุของผู้ร้องลงบนโฉนดเลขที่65253 ซึ่งตามโฉนดมีชื่อนางประภา ชาวเกาะ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยผู้ร้องสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 65252 ของผู้ร้องผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 65253 มาโดยตลอดจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 65253 ดังกล่าว
ผู้คัดค้านคัดค้านว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 65253ของผู้คัดค้านโดยไม่มีเจตนาเอาเป็นกรรมสิทธิ์ เพราะผู้ร้องอาศัยเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 65253 คนเดิมปลูกสร้างบ้านพักคนงานและเก็บของโดยไม่มีเลขที่บ้าน เมื่อผู้คัดค้านซื้อที่ดินโฉนดเลขที่65253 แล้ว ผู้ร้องได้ตกลงจะรื้อถอนอาคารและที่เก็บของออกไปผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานผู้ร้องแล้วพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 65253 ซึ่งมีชื่อผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินของผู้ร้องตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลาสิบปีแล้ว ภายหลังทราบว่าที่ดินเป็นของผู้คัดค้าน และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นได้ความว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านและบุคคลอื่นต่างได้ซื้อที่ดินมาแต่เนื่องจากเจ้าของที่ดินเดิมชี้ที่ดินผิดพลาด ทุกคนจึงครอบครองที่ดินผิดแปลงและผู้ซื้อต่างได้จดทะเบียนแลกกันไปบ้างแล้ว ผู้ร้องยอมรับว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 65253 ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสำคัญผิดว่าเป็นของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1383บัญญัติว่าบุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ฯลฯ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ดังนั้น การที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นแม้จะเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของตนเองก็ตาม หากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านแล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินของผู้คัดค้านโดยเข้าใจผิดว่าเป็นของผู้ร้องเองโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 65253 ของผู้คัดค้านแล้วตามกฎหมายดังกล่าว
พิพากษากลับว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 65253เลขที่ดิน 3245 ตำบลสามเสนใน (สามเสนในฝั่งเหนือ) อำเภอพญาไท(บางซื่อ) จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 118 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.

Share