คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2497 มาตรา 24 วรรคแรก เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่กรณีที่จะเสนอตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทน ไม่ใช่บทบังคับว่าจะต้องเสนอตั้งเสมอไป และในวรรคดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุว่าถ้าไม่ได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการแล้วจะฟ้องคดีต่อศาลไม่ได้ ส่วนมาตรา 84 วรรคสอง ก็มีความหมายเพียงว่า หากผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนไม่เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการภายในกำหนด 6 เดือน ทั้งไม่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลด้วย จึงให้ถือว่าราคาเด็ดขาดที่เจ้าหน้าที่เสนอเป็นเงินค่าทดแทน ไม่ใช่ห้ามฟ้องคดีโดยไม่ได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการก่อน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่ใช่ราคาแท้จริงที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 169 มีผลใช้บังคับ ไม่อาจนำมาใช้กำหนดค่าทดแทนในการเวนคืนที่ดิน แต่จะต้องถือตามราคาซื้อขายที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทในเวลาใกล้ชิดกับวันที่ที่ดินพิพาทถูกเวนคืนเป็นราคาที่ซื้อขายกันจริงในท้องตลาดมาใช้กำหนดค่าทดแทนในการเวนคืนที่ดินพิพาท
ที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่เพียง 4 ไร่ 2 งาน 79 ตารางวาไม่มากเกินไปจนถึงกับจะต้องกำหนดราคาเป็นหน่วย ๆ ลดหลั่นลงไปตามส่วนเช่นที่ทางราชการกำหนดไว้ในแผนผังที่ดินที่ถูกเวนคืน จึงสมควรกำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินพิพาทเป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนพร้อมดอกเบี้ยในการเวนคืนที่ดินพิพาทตามฟ้อง
จำเลยให้การว่าคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามราคาในแต่ละหน่วยแตกต่างกันไปเหมาะสมแล้วและโจทก์ไม่สนองรับหนังสือเสนอราคาเด็ดขาด ทั้งไม่ใช้สิทธิตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดจำนวนเงินค่าทดแทนภายในกำหนด จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓,๖๐๑,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป ๕ ปี และนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๑๕,๐๓๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๑๑,๔๙๒,๘๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องย้อนหลัง ๕ ปี และนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๒๐ ตำบลบางไส้ไก่ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันคือแขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร) เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๕ ได้มีประกาศสของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๖๙ กำหนดเขตที่ดินที่คิดว่าจะเวนคืนในท้องที่ตำบลบางยี่เรือ อำเภอธนบุรี พร้อมกับห้องที่ตำบลและอำเภออื่น ๆ อีกเพื่อสร้างและขยายทางหลวงให้รับกับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะสร้างขึ้น ณ ปลายถนนสาธร ต่อมาวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๐ ได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงในท้องที่แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรีและแขวงอื่น ๆ ให้แก่กระทรวงมหาดไทย ตามแนวทางหลวงที่จะสร้างขยายภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๖๙ ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๗๙ ตารางวา หรือ ๑๘๗๙ ตารางวา คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พิจารณากำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ตามเกณฑ์ราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นจำนวนทุนทรัพย์สำหรับเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม โดยกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์อยู่ในหน่วยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๖ ซึ่งราคาแต่ละหน่วยแตกต่างกันเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๖๐๒,๒๐๐ บาท อธิบดีกรมโยธาธิการได้ทำหนังสือเสนอราคาเด็ดขาดให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ไม่สนองรับภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำเสนอ และโจทก์ไม่ใช้สิทธิตั้งอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าทดแทนภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่โจทก์ได้รับคำเสนอราคาเด็ดขาด แต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว โดยอ้างว่าค่าทดแทนที่จำเลยกำหนดให้โจทก์ต่ำไป ควรจะเป็น ๒๘,๑๘๕,๐๐๐ บาท
มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า ๑. การที่โจทก์มิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนก่อนที่จะยื่นฟ้องคดีโจทก์จะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ และ ๒. โจทก์ควรจะได้ค่าทดแทนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่
พิเคราะห์แล้วในประเด็นข้อแรกนั้น พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๒๔ วรรคแรกบัญญัติว่า “ถ้าคำเสนอของเจ้าหน้าที่ไม่มีคำสนองรับภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำเสนอนั้น คู่กรณีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะขอให้ตั้งอนุญาโตตุลาการดั่งที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๙ ได้” วรรคสองว่า “ถ้าผู้มีสิทธิจะได้รับค่าทดแทนไม่เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการดังกล่าวภายในกำหนดหกเดือนให้ถือว่าราคาเด็ดขาดที่เจ้าหน้าที่เสนอเป็นเงินค่าทดแทน…” เช่นนี้เห็นว่า บทบัญญัติมาตราดังกล่าววรรคแรก เป็นการให้สิทธิคู่กรณีที่จะเสนอตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนเท่านั้น มิใช่บทบังคับว่าจะต้องเสนอตั้งเสมอไป คู่กรณีจะเสนอตั้งอนุญาโตตุลาการดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ ทั้งบทกฎหมายมาตราดังกล่าวก็มิได้ระบุว่าถ้ามิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการแล้วจะฟ้องคดีต่อศาลมิได้ ส่วนบทบัญญัติมาตราดังกล่าววรรคสองนั้นก็มีความหมายเสียงว่า หากผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนไม่เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการภายในกำหนด ๖ เดือน ทั้งไม่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลด้วย จึงให้ถือว่าราคาเด็ดขาดที่เจ้าหน้าที่เสนอเป็นเงินค่าทดแทน มิใช่ห้ามมิให้ฟ้องร้องคดีโดยมิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการก่อน ฉะนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับในประเด็นข้อสุดท้ายนั้น โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นฟังได้ว่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินของโจทก์มีการซื้อขายกันดังนี้ คือ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ธนาคารกสิกรไทยได้ซื้อที่ดินของเรือเอกหลวงยุทธวินัยพิเนต ห่างที่ดินโจทก์ประมาณ ๘๐๐ เมตร คิดเฉลี่ยตารางวาละ ๒๑,๘๑๘ บาท พ.ศ.๒๕๑๓ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ซื้อที่ดินของนายวิฑูร อรรถจินดาห่างจากที่ดินโจทก์ประมาณ ๖๐๐ เมตร ในราคาเฉลี่ยตารางวาละ ๘,๒๒๘ บาท พ.ศ.๒๕๒๑ บริษัทเงินทุนมหาทุนเคหะ จำกัด ซื้อที่ดินจากนางสง่า ฉายะวรรณ ๒ แปลง ในราคาเฉลี่ยตารางวาละ ๑๔,๔๙๒ บาท พ.ศ.๒๕๒๒ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซื้อที่ดินจากนายสพรั่งศักดิ์ จุลเดชะ ในราคาเฉลี่ยตารางวาละ ๒๘,๐๐๐ บาทส่วนจำเลยนำสืบว่า ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๕ ไม่มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาด คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จึงมีมติให้กำหนดค่าทดแทนตามราคาประเมินปานกลางตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาตามราคาตลาดเพื่อให้เป็นจำนวนทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และส่งอ้างเอกสารหมาย ล.๑๓ อันแสดงถึงกำหนดราคาเป็นหน่วย ๆ ลดหลั่นลงไปตามความใกล้ไกลกับถนน โดยกำหนดเป็นสี่ราคาคือตารางวาละ ๘,๐๐๐ บาท, ๔,๐๐๐ บาท, ๑,๖๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลไม่ชอบที่จะกำหนดค่าทดแทนแก่โจทก์โดยพิจารณาจากราคาซื้อขายที่ดินของคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินของโจทก์และไม่ชอบที่จะกำหนดราคาเดียวเท่ากันตลอดทั้งแปลงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ชอบที่จะถือตามราคาประเมินปานกลางตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาตามราคาตลาดเพื่อให้เป็นจำนวนทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรม โดยกำหนดราคาลดหลั่นกันลงไปตามความใกล้ไกลจากถนนตามเอกสารหมาย ล.๑๓ และให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นจำนวนตามที่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนด สำหรับในข้อนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ค่าทดแทนที่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ให้ถือตามราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม โดยถือว่าเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๖๙ มีผลใช้บังคับนั้น มิใช่ราคาแท้จริงที่ซื้อขายกันในท้องตลาด ส่วนราคาที่ซื้อขายของที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาท ในเวลาใกล้เคียงกับวันที่ที่ดินพิพาทถูกเวนคืน เป็นราคาที่ซื้อขายกันจริง และย่อมจะใกล้เคียงกับราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดและเป็นธรรมมากกว่าสมควรจะใช้เป็นเครื่องกำหนดค่าทดแทน ซึ่งปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่าที่ดินของนายวิฑูร อรรถจินดา ขายให้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ เนื้อที่ ๑ งาน ๗๕ ตารางวา คิดเฉลี่ยราคาตารางวาละ ๘,๒๒๘ บาท เป็นการซื้อขายในบริเวณใกล้เคียงกับที่พิพาทในวันที่ใกล้ชิดกับวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๖๙ ใช้บังคับที่สุด ศาลล่างทั้งสองจึงใช้หลักในการกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนในคดีนี้โดยกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ตารางวาละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นการเหมาะสมแล้ว และที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินรายพิพาทนี้เป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลง มิได้กำหนดราคาเป็นหน่วย ๆ ลดหลั่นลงไปตามส่วนเช่นที่ทางราชการกำหนดไว้ในแผนผังแสดงที่ดินที่ถูกเวนคืน เอกสารหมาย ล.๑๓ เป็นตารางวาละ ๘,๐๐๐ บาท, ๔,๐๐๐ บาท, ๑,๖๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท ตามลำดับนั้น เห็นว่าถูกต้องและเหมาะสมแล้วเพราะราคาที่ดินที่นายวิฑูร อรรถจินดา ขายไปและนำมาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าทดแทนในคดีนี้นั้นเป็นราคาเฉลี่ยแล้ว และที่ดินที่ถูกเวนคืนในคดีนี้ ก็มีเนื้อที่ไม่มากจนเกินไปถึงกับจะมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์ จึงถูกต้องเหมาะสมแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share