คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาขายฝากนาพิพาทไว้กับโจทก์ โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ ก็ให้โจทก์ทำนาเรื่อยไป การขายฝากจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น ที่โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย และการที่โจทก์ครอบครองจนกว่าจำเลยจะใช้เงินคืนเช่นนี้ ถึงจะนานสักกี่ปีก็ยังถือว่าครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่นั่นเองแม้โจทก์จะมีชื่อในแบบ ส.ค.1 และเสียภาษีเงินบำรุงท้องที่มาก็ตามก็ต้องถือว่าทำแทนจำเลยเช่นกัน
กรณีดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาการครอบครองดังนั้น หากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตน ก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยว่าจะครอบครองเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 11 ปีมานี้ จำเลยได้ขายขาดที่นา1 แปลงให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้เข้าครอบครองทำนาและแจ้งแบบส.ค. 1 ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของต่อมาเมื่อเดือน 5 พ.ศ. 2506 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ทางอำเภอรับรองการทำประโยชน์ที่นาพิพาทของโจทก์ โจทก์ได้ไปร้องคัดค้านจำเลยต่ออำเภอไว้แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองที่นาโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การต่อสู้ว่า เมื่อประมาณ 11 ปีมานี้ จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่นาพิพาทไว้กับโจทก์เป็นจำนวนเงิน 700 บาท แต่จำเลยมิได้ขายขาดนาพิพาทนี้ให้แก่โจทก์ดังที่กล่าวอ้าง ข้อความตอนท้ายในหนังสือสัญญาขายฝากซึ่งมีความว่า จำเลยขายขาดที่นาดังกล่าวให้โจทก์ รวมทั้งลายเซ็นชื่อของจำเลยนั้น โจทก์ทำปลอมขึ้นทั้งสิ้นจำเลยมอบนาพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยในตอนเงิน 700 บาท จนกว่าจำเลยจะไถ่ถอนการขายฝากขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยมอบนาพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ยการที่โจทก์เข้าครอบครองที่นาดังกล่าว จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย คดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองนาพิพาทพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า จำเลยขายขาดนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามความตอนท้ายในหนังสือสัญญาขายฝาก แม้การขายฝากจะเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้เข้าครอบครองเป็นเวลา 10 ปีเศษ ทั้งยังได้แจ้งการครอบครองและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ถือได้ว่าโจทก์ได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และฟังว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองทรัพย์ตามมาตรา 1377 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในนาพิพาทของโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าได้มีการขายขาดนาพิพาทดังที่โจทก์กล่าวอ้างและข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่นาดังกล่าวไว้กับโจทก์เป็นเงิน 700 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ก็ให้โจทก์ทำนาเรื่อยไป แต่หนังสือสัญญาดังกล่าวหาได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ การขายฝากจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ดังนั้น ที่โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาครอบครองหากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตนก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยตามมาตรา 1381 การที่โจทก์ครอบครองจนกว่าจำเลยใช้เงินคืนเช่นนี้ ถึงจะนานสักกี่ปีก็ยังถือว่าครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่นั่นเอง แม้โจทก์จะมีชื่อในแบบ ส.ค. 1 และเสียภาษีบำรุงท้องที่ก็ตามก็ต้องถือว่าทำแทนจำเลยเช่นเดียวกันพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share