คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3835/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีบุตร 1 คนโดยระบุชื่อมาด้วย อายุ 1 ปี 9 เดือน ขณะผู้ตายมีชีวิตอยู่เป็นผู้อุปการะโจทก์และบุตรโจทก์ เมื่อผู้ตายตายทำให้บุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะดังนี้มีความหมายพอเข้าใจว่าบุตรโจทก์ขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของตนนั่นเองแต่เพราะเหตุที่บุตรโจทก์มีอายุเพียง 1 ปี 9 เดือน ยังฟ้องเองไม่ได้ โจทก์เป็นมารดาจึงฟ้องแทน ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องในนามของบุตรโดยปริยาย
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 458/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีบุตรด้วยกัน ๑ คน ชื่อเด็กชายหฤษฎ์ เตชธรรมรักข์ อายุ ๑ ปี ๙ เดือนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังชนรถยนต์ที่ผู้ตายนั่งมาโดยละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ เอาประกันภัยรถยนต์คันซึ่งจำเลยที่ ๑ ขับต่อจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การที่ผู้ตายตายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตายเป็นเงิน ๓๖,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปให้ตำรวจสอบสวน ๓ ครั้งเป็นเงิน ๑,๔๐๐ บาท การที่ผู้ตายตายทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะ คิดเป็นค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๑๐ ปีเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และถ้าให้บุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะ คิดเป็นค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท จนกว่าบุตรโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ เป็นเวลา ๑๘ ปีเป็นเงิน ๒๑๖,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสิ้น ๓๗๓,๐๐๐ บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าได้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถ และจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ ๓ จริง เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์คันที่ผู้ตายนั่งเพียงฝ่ายเดียว องค์การโทรศัพท์จ่ายเงินค่าจัดการศพและเงินสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทของผู้ตายเป็นที่พอใจของทายาทผู้ตายแล้ว และองค์การโทรศัพท์ได้ฟ้องใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๒ แล้วโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้อีก ค่าจัดการศพไม่ควรเกิน ๙,๐๐๐ บาท ค่าสินไหมทดแทนสำหรับโจทก์และบุตรโจทก์ไม่ควรได้รวมกันเกินเดือนละ ๕๐๐ บาท เป็นเวลา ๒ ปี เงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโจทก์เป็นสิทธิเฉพาะตัว โจทก์ฟ้องเรียกเองไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยาและบุตรโจทก์ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุรถชนคดีนี้มิใช่ความประมาทของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ รับประกันภัยไว้จากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลพันธ์เจริญลพบุรี มิใช่รับประกันภัยจากจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันใช้เงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เฉพาะจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียว แล้ววินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน ๑ คน ชื่อเด็กชายหฤษฎ์ เตชธรรมรักข์ อายุ ๑ ปี ๙ เดือนขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้อุปการะโจทก์และบุตรของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ ทำละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทำให้บุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะจึงขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะของบุตรโจทก์ เช่นนี้ มีความหมายพอเป็นที่เข้าใจได้ว่าบุตรโจทก์ขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของตนนั่นเอง แต่เพราะเหตุที่บุตรโจทก์มีอายุเพียง ๑ ปี ๙ เดือน ยังฟ้องเองไม่ได้ โจทก์ซึ่งเป็นมารดาและผู้แทนโดยชอบธรรมจึงฟ้องแทน ย่อมถือได้ว่าโจทก์ฟ้องในนามของบุตรโดยปริยาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๘/๒๕๑๑)
พิพากษายืน

Share