แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยขุดเอาดินลูกรังในที่ดินของโจทก์ไปขาย ถือได้ว่าเป็นการเอาดินลูกรังของโจทก์ไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์และเป็นการละเมิดต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักเอาดินลูกรังในที่ดินของโจทก์ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335 และให้จำเลยใช้ราคาดินลูกรัง 60,000 บาท หากไม่ชำระให้จำเลยทำพื้นดินของโจทก์ให้คืนสภาพเดิม
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีให้จำเลยทำที่ดินของโจทก์ให้คงคืนสภาพเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้จำเลยชำระราคาดินลูกรังให้โจทก์ 6,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาจำเลยเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยเท่านั้น เพราะข้อเท็จจริงนำสืบรับกันแล้วว่าจำเลยขายดินลูกรังในที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นไปตามวันเวลาที่กล่าวในฟ้อง ถ้าฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง และจำเลยก็เป็นฝ่ายกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยมิได้ติดใจฎีกาคัดค้านในเรื่องค่าดินลูกรังแต่อย่างใด
เกี่ยวกับปัญหานี้ คู่ความรับกันว่าที่ดินพิพาทก็คือที่ดินประมาณ 30 ไร่ ในเขตเส้นสีน้ำเงินซึ่งอยู่นอกเขตเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินคือที่ดินที่จำเลยอ้างว่าเป็นของตนอยู่ภายในเขตเส้นสีดำซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของตนตาม น.ส. 3 เลขที่ 210 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 193/2525ของศาลชั้นต้น ที่ดินภายในเส้นสีแดงคือที่ดินที่โจทก์อ้างในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 73/2520 ของศาลชั้นต้นว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของตนและเป็นประเด็นให้ศาลฎีกาพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 193/2525ว่าเป็นของจำเลยมีเนื้อที่ 50 ไร่เศษ ดังนั้นตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงยังมิได้วินิจฉัยถึงที่ดินพิพาทซึ่งดูตามแผนที่พิพาทประกอบจะเห็นว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าเป็นของตนจำนวน 30ไร่เศษว่าเป็นของโจทก์หรือจำเลยเพราะไม่เป็นประเด็นในคดีทั้งสองนั้น ต้องฟังพยานหลักฐานในคดีนี้สืบไป โจทก์มีตัวโจทก์ยืนยันว่าได้รับมรดกเป็นที่ดินแปลงหนึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทจากบิดา สำหรับที่ดินพิพาทได้ให้ผู้อื่นเช่าและให้สามีเข้าทำประโยชน์ต่อเนื่องมาทุกปี ได้แสดงความเป็นเจ้าของหวงแหนมาตลอดด้วยการออก น.ส. 3ในที่ดินพิพาทตาม น.ส. 3 เลขที่ 210 ฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุกตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 73/2520 ของศาลชั้นต้นต่อสู้คดีกรณีจำเลยจะขอโอนที่พิพาทไปจาก น.ส. 3 เลขที่ 210 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 193/2525รวมทั้งฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ด้วย โจทก์มีนายบัญญัติสามีโจทก์มาสืบสนับสนุนโดยตลอด สำหรับที่ดินพิพาทนายบัญญัติเบิกความว่าได้จัดให้นายเหลือ นายแฉล้มเช่าทำมาจน พ.ศ. 2525 แล้วพยานจึงเข้าทำเองอีก 2 ปี โจทก์สืบนายบิน สินเชื้อ และนางพล ภามัง ผู้มีที่ดินทำกินอยู่ข้างเคียงสนับสนุนคำเบิกความของนายบัญญัติไว้ด้วยว่าได้เห็นนายเหลือนายแฉล้มและนายบัญญัติเข้าทำกินในที่ดินพิพาทจริงจำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลแวดล้อมน่าเชื่อ ส่วนจำเลยมีตัวเองยืนยันว่าบุกเบิกที่ดินพิพาทพร้อมที่ดินส่วนอื่น ๆ รวม 86 ไร่ แต่ไม่ได้ขอออก น.ส. 3สำหรับที่ดินให้เป็นหลักฐานเหมือนบุคคลอื่น กลับปล่อยให้โจทก์ออกน.ส. 3 ทับที่ของตนได้ นับเป็นพิรุธ สำหรับที่ดินพิพาทนั้นจำเลยอ้างว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2524 เป็นต้นมาได้ให้นายกมล เสนเชื้อ เช่าปลูกมันสำปะหลัง ค่าเช่า 2,000 บาท ต่อปี ปีแรกได้ค่าเช่า 1,500บาท เพราะแล้งจัดมันสำปะหลังไม่ได้ถูกไฟไหม้ ส่วนนายกมลเบิกความว่าเช่าที่ดินพิพาทโดยให้ค่าเช่าล่วงหน้า 2,500 บาทปีที่สองที่เช่าปลูกมันสำปะหลังเสียหายราคาไม่ดี แต่นางมิน ภรรยาจำเลยกลับเบิกความว่าปีที่สองมันสำปะหลังถูกไฟไหม้ และไม่ทราบอัตราค่าเช่า ดังนี้จะเห็นว่าพยานจำเลยให้การขัดกัน ในเรื่องอัตราค่าเช่า วิธีชำระ ตลอดจนลักษณะความเสียหายของมันสำปะหลังในปีที่สองที่ว่าถูกไฟไหม้หรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทดังอ้าง พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักและเหตุผลยิ่งกว่าของจำเลย รับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยนำเนื้อดินคือดินลูกรังในที่ดินพิพาทไปขายแก่ผู้อื่น ก็ถือได้ว่าเป็นการเอาดินลูกรังของโจทก์ไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์และกระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล…”
พิพากษายืน