แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีส่วนร่วมในการประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ส.โดยได้รับผลตอบแทนตามสัญญาจ้างที่ปรึกษาอันเป็นธุรกิจเช่นเดียวกับ ที่จำเลยประกอบอยู่ และเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของจำเลย ในขณะที่โจทก์ยังเป็นลูกจ้างจำเลย ซึ่งตามสัญญาจ้างที่ หนังสือพิมพ์ส. ทำไว้กับโจทก์นั้นระบุว่า “ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ นอกจากได้รับค่าจ้าง จากการให้คำปรึกษา ผู้รับจ้างต้องพร้อมตลอดเวลาในการ ให้คำปรึกษาผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างเป็นประจำทุกเดือนตามอัตราที่ได้ตกลงกับผู้รับจ้าง”จะเห็นได้ว่าตามสัญญาจ้างดังกล่าว โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากการที่โจทก์ให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์ส. ซึ่งเป็นคู่แข่งขันกับหนังสือพิมพ์ของจำเลย ถือได้ว่าโจทก์ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่โจทก์ทำกับจำเลยโดยทำงานให้แก่ธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้าง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นกรณีโจทก์ฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย ระหว่างที่โจทก์ทำงานให้แก่จำเลย จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2540ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 39,510 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 7,463 บาท และค่าจ้างค้าง 6,585 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรและในเดือนกรกฎาคม 2540 ถึงเดือนสิงหาคม 2540โจทก์ไปทำงานให้กับหนังสือพิมพ์สร้างชาติ ซึ่งเป็นคู่แข่งของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีที่ร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงแล้วตามเอกสารหมาย ล.5 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่าการที่โจทก์ไปทำงานที่หนังสือพิมพ์สร้างชาติไม่ทำให้จำเลยเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเพราะโจทก์ยังคงทำงานให้กับจำเลยตามปกติและไม่ได้ใช้เวลาการทำงานของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นกรณีร้ายแรงดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.5 ว่าด้วยวินัยและการลงโทษทางวินัยระบุไว้ในข้อ 2 ว่า”แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานหรือเวลาปฏิบัติงานของบริษัท” ถือว่าเป็นการกระทำผิดร้ายแรงซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์สร้างชาติโดยได้รับผลตอบแทนตามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเอกสารหมาย จ.6 อันเป็นธุรกิจเช่นเดียวกับที่จำเลยประกอบอยู่ และเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นลูกจ้างจำเลยอยู่ เห็นได้ว่าตามหนังสือสัญญาจ้างที่ปรึกษาผลิตข่าวหนังสือพิมพ์สร้างชาติเอกสารหมายจ.6 ข้อ 3 ระบุว่า “ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ นอกจากได้รับค่าจ้างจากการให้คำปรึกษา” ข้อ 5ระบุว่า “ผู้รับจ้างต้องพร้อมตลอดเวลาในการให้คำปรึกษา” และข้อ 6ระบุว่า “ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างภายในวันที่ 10 ของเดือนเป็นประจำตามอัตราที่ได้ตกลงกับผู้รับจ้าง” จะเห็นได้ว่าตามหนังสือสัญญาจ้างที่ปรึกษาดังกล่าวที่หนังสือพิมพ์สร้างชาติทำไว้กับโจทก์นั้น โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากการที่โจทก์ให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์ดังกล่าวซึ่งเป็นคู่แข่งกับหนังสือพิมพ์ของจำเลย กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่โจทก์ทำกับจำเลย โดยทำงานให้แก่ธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้าง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นกรณีที่ถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงแล้วจำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน