แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามฟ้องและแผนที่พิพาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันละเมิดในที่ดินของโจทก์ ปรากฏแต่เพียงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของโจทก์คนละส่วนต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคนละคดีได้ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งแปดเข้ามาเป็นคดีเดียวกันก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีมีทุนทรัพย์เท่าใดนั้นย่อมจะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปยึดถือครอบครองมิใช่นับรวมกัน เมื่อที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 ยึดถือครอบครองปรากฏว่ามีเนื้อที่ไม่ถึงคนละ 50 ไร่คำนวณเป็นราคาไม่เกินคนละสองแสนบาท คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 แต่ละคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินคนละสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ม.โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของ ม. เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครองโจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน 1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น แม้จะเป็นข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนายมณีโรจน์เวคะวากยานนท์ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนายมณีโรจน์เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 190, 191, 192 และ 194 ตำบลนายม อำเภอเมืองเพชรบูรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ติดต่อกัน เดิมโจทก์ทั้งสามอนุญาตให้จำเลยทั้งแปดแต่ละคนเข้าทำไร่ในที่ดินทั้งสี่แปลงบางส่วน ต่อมาจำเลยทั้งแปดขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์รังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โจทก์จึงห้ามไม่ให้จำเลยทั้งแปดเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อมาจำเลยทั้งแปดและบริวารได้บุกรุกเข้าไปปลูกข้าวโพดในที่ดินแปลงที่เคยทำกิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 เข้าไปทำไร่ในที่พิพาท เดิมที่พิพาทเป็นป่าเขาอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งเจ็ดได้หักร้างถางพงเข้าปลูกไม้ยืนต้นและครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมาโดยสงบและเปิดเผย ต่อมาทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้สิทธิทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.1) ให้แก่จำเลย โจทก์ไม่เคยท้วงติงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ หากเป็นของโจทก์ก็ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 แย่งการครอบครองเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วโจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ย่อมได้สิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ และในระหว่างพิจารณาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสาม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ออกไปจากที่พิพาทและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท สำหรับสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยที่ 4 ได้ทำกับโจทก์ทั้งสามไว้ในระหว่างการพิจารณาคดีนั้นได้พิพากษาแล้วเห็นว่าชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องและแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.28ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันทำละเมิดในที่ดินของโจทก์ทั้งสามปรากฏแต่เพียงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของโจทก์คนละส่วนต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคนละคดีได้แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งแปดเข้ามาเป็นคดีเดียวกันก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีมีทุนทรัพย์เท่าใดนั้นย่อมจะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปยึดถือครอบครอง มิใช่นับรวมกัน เมื่อโจทก์จำเลยทุกคนรับว่าที่พิพาททั้งหมดมีราคาประมาณ 640,000 บาทและปรากฏจากแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2 ว่าที่ดินในส่วนที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 นำชี้ซึ่งถือว่าเป็นที่พิพาทในคดีนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดรวม 159 ไร่ 3 งาน 38 วาจึงคิดเป็นราคาประมาณไร่ละอย่างสูงไม่เกิน 4,000 บาท ที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ยึดถือครอบครองปรากฏว่ามีเนื้อที่คนละ 50 ไร่ คำนวณเป็นราคาไม่เกินคนละสองแสนบาทคดีระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 แต่ละคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินคนละสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา248 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนายมณีโรจน์ เวคะวากยานนท์ โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของนายมณีโรจน์ เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปี แล้วจำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน 1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบเพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่โจทก์ก็มิได้ยกประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษาให้ยกฎีกาของโจทก์ทั้งสาม