คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ.กักกันฯ มาตรา 6 นั้น เพียงแต่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษกักกันมาแล้วเท่านั้น ไม่จำต้องพ้นโทษกักกันไปแล้ว มากระทำผิดขึ้นอีก เช่นที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.ลัษณะอาญา มาตรา 72 ไม่. และเมื่อเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายแล้ว ตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. กักกันฯลฯ ก็ได้บัญญัติไว้ตายตัวให้ศาลลงโทษกักกัน ศาลจะใช้ดุลยพินิจงดลงโทษกักกันเสียไม่ได้./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ และขอให้ส่งตัวไปกักกัน ฐานจำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
จำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๘๘ จำคุก ๘ เดือน ลดตามมาตรา ๕๙ กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๔ เดือน ส่วนโทษกักกันเห็นว่าจำเลยต้องรับโทษกักกันในคดีก่อนมากอยูแล้ว จึงให้งดการลงโทษกักกันในคดีนี้เสีย.
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้วางโทษกักกันแก่จำเลยอีกมีกำหนด ๓ ปี นอกจากนั้นพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยโต้แย้งว่าจำเลยยังไม่พ้นโทษกักกันในคดีก่อน ก็มากระทำผิดครั้งนี้ขึ้น จะลงโทษฐานกักกันอีกไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตาม พ.ร.บ.กักกันฯ มาตรา ๖ บัญญัติไว้เพียงว่า “ฯลฯ ถ้าปรากฎว่าผู้นั้น
เคยถูกส่งตัวไปอยู่ต่างหัวเมืองตาม พ.ร.บ. คนจรจัด ฯลฯ หรือเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษกักกันมาแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นมีสันดานเป็นผู้ร้าย” หาได้บัญญัติไว้ว่าได้พ้นโทษากักกันไปแล้ว มากระทำผิดขึ้นอีก เช่นที่บัญญัติไว้ใน
ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๗๒ ไม่ และมาตรา ๙ แห่ง พ.ร.บ.กักกันฯ ก็บังคับไว้เด็ดขาดว่า นอกจากโทษที่ต้องรับฐานกระทำผิดอันเป็นเหตุร้ายแล้ว ให้เพิ่มโทษกักกันอีกโสดหนึ่ง ศาลไม่มีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจในความผิดที่ต้องด้วยมาตรา ๙ ได้ จึงพิพากษายืน.

Share