คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3812/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาตามที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนหย่าย่อมมีผลบังคับผูกพัน ภริยาจะโต้แย้งในภายหลังว่าการแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่สามียังมิได้จดทะเบียนโอน ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของภริยาร่วมกับสามีอยู่หาได้ไม่
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1406/2517)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๖๓๑ เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์นำยึดครึ่งหนึ่ง เมื่อศาลขายทอดตลาดแล้ว ขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้ให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง โจทก์คัดค้านว่า เดิมจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน ต่อมาได้จดทะเบียนหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์สินกันโดยยกที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เมื่อขายทอดตลาดแล้วให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับผู้ร้องรวมกัน ต่อมาวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๖ จำเลยกับผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากัน โดยตกลงให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องจะไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารและโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๑๖ ต่อมามีการไถ่ถอนจำนองและออกโฉนดที่ดินพิพาทใหม่โดยผู้ร้องกับจำเลยยังคงมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ปัญหามีว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเพียงผู้เดียวหรือร่วมกับผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.๑ หรือ จ.๓ ให้ที่ดินพิพาท ตู้เย็น โทรทัศน์ สุกร จักรเย็บผ้า เครื่องบันทึกเสียง แหวนเพชรและสร้อยคอแก่จำเลย ให้รถยนต์โดยสารและเข็มขัดนากแก่ผู้ร้อง การแบ่งทรัพย์สินของจำเลยกับผู้ร้องตามที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนหย่าเช่นนี้ ย่อมมีผลบังคับผูกพันผู้ร้อง ผู้ร้องจะโต้แย้งในภายหลังว่าการแบ่งที่ดินพิพาทให้นี้ยังมิได้โอนทะเบียน ยังเป็นของผู้ร้องร่วมกับจำเลยหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๖/๒๕๑๗ ระหว่างนายสมจิตร ไผ่วิจิตร โจทก์ นายสุรพล จันรัตน์ จำเลย
พิพากษายืน

Share