คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ว. บุตรผู้เยาว์ของจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทชนรถยนต์โดยสารโจทก์ซึ่งลูกจ้างของโจทก์ขับสวนทางมารถยนต์โดยสารทับรถจักรยานยนต์ ว. พาครูดไปตามถนนจนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่รถจักรยานยนต์ ลูกจ้างของโจทก์มีโอกาสจะขับรถถอยหลังออกไปให้พ้นจากรถจักรยานยนต์ได้ แต่ไม่กระทำกลับทิ้งรถหลบหนีไป จนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถโดยสารโจทก์เสียหาย ดังนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับความเสียหายของรถโจทก์ถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วยและเป็นฝ่ายที่ก่อให้ความเสียหายเกิดขึ้นยิ่งกว่าฝ่ายจำเลย ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับทั้งหมดจึงให้ตกเป็นพับแก่โจทก์
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุลูกจ้างของโจทก์จะขับรถโดยสารอยู่ในช่องทางเดินรถช่องที่ 3 อันเป็นการปฏิบัติผิดต่อกฎข้อบังคับในการจราจรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 ที่บังคับให้รถยนต์โดยสารประจำทางวิ่งในช่องทางเดินรถช่องที่ 1 หรือช่องทางด้านซ้ายสุด แต่การปะทะกันของรถทั้งสองคันก็หาใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการขับรถผิดต่อกฎข้อบังคับในการจราจรของลูกจ้างโจทก์ไม่ หากแต่เป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของ ว. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายวิเชียรผู้ตายซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของจำเลยทั้งสอง ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทแฉลบไปชนรถยนต์โดยสารประจำทางของโจทก์ซึ่งลูกจ้างของโจทก์ขับสวนทางมา รถโจทก์ทับถูกรถนายวิเชียรและครูดไปตามถนนเกิดเพลิงไหม้ที่รถนายวิเชียรแล้วลุกลามมายังรถโจทก์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้เสียหายหมดทั้งสองคัน จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุรถชนกันเป็นเพราะความประมาทของลูกจ้างโจทก์ และความเสียหายของรถโจทก์จะไม่เกิดขึ้นหากลูกจ้างโจทก์ไม่หลบหนีและขับรถถอยหลังออกไป การกระทำโดยประมาทของลูกจ้างโจทก์เป็นเหตุให้นายวิเชียรบุตรจำเลยถึงแก่ความตาย และรถจักรยานยนต์เสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของนายวิเชียรบุตรจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยและให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเสียด้วย
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่รถทั้งสองคันเกิดปะทะกันนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ตาย แม้จะปรากฏว่าในขณะเกิดเหตุ ลูกจ้างของโจทก์จะขับรถโดยสารอยู่ในช่องทางเดินรถช่องที่ ๓ อันเป็นการปฏิบัติผิดต่อกฎข้อบังคับในการจราจรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกที่บังคับให้รถโดยสารประจำทางวิ่งในช่องทางเดินรถช่องที่ ๑ หรือช่องทางซ้ายสุด แต่การปะทะกันของรถทั้งสองคันก็หาใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการขับรถผิดต่อกฎข้อบังคับในการจราจรของลูกจ้างโจทก์ไม่ แต่เป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของผู้ตาย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายของจำเลยทั้งสอง สำหรับความเสียหายของโจทก์นั้น ได้ความว่าไฟหาได้ลุกไหม้ขึ้นที่รถยนต์โดยสารของโจทก์ในทันทีทันใดที่รถทั้งสองคันเกิดปะทะกันไม่ แต่ได้ลุกไหม้ที่รถจักรยานยนต์ก่อนจึงมีช่วงระยะเวลาพอที่นายบุญลือลูกจ้างโจทก์จะทำการถอยหลังรถยนต์โดยสารออกไปให้พ้นจากจุดที่ชนกันเพื่อให้พ้นจากอันตรายจากไฟที่กำลังลุกไหม้ที่รถจักรยานยนต์ได้ แต่ในทันทีที่เกิดเหตุนายบุญลือคนขับรถโดยสารของโจทก์ได้หลบหนีไปเป็นการละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายแต่อย่างใดเลย ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสและช่วงเวลาพอที่จะกระทำเพื่อให้รถโดยสารของโจทก์รอดพ้นจากอันตรายที่จะถูกไฟที่ลุกลามมาจากรถจักรยานยนต์ไหม้เสียหายทั้งคัน ส่วนฝ่ายผู้ตายมิได้มีโอกาสเช่นนั้น เพราะผู้ตายถูกรถจักรยานยนต์ทับอยู่ ดังนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับความเสียหายของโจทก์จึงถือได้ว่าฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วย และเป็นฝ่ายที่ก่อให้ความเสียหายเกิดขึ้นยิ่งกว่าฝ่ายจำเลยเป็นอย่างมาก เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ความเสียหายที่โจทก์ได้รับทั้งหมดตกเป็นพับแก่โจทก์ฝ่ายเดียว
พิพากษายืน

Share