แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เล่นแชร์กับจำเลยรวม 3 วง แล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ ทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงต้องแยกออกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง แชร์ทั้งสามวงมีทุนทรัพย์ที่พิพาท 30,804 บาท16,748 บาท และ 22,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตั้งวงเล่นแชร์เปียหวยขึ้น 3 วง โดยจำเลยเป็นหัวหน้าวง ต่อมาแชร์ทั้งสามวงล้มเลิกไป โดยโจทก์ประมูลแล้วได้รับเงินไม่ครบบ้างยังไม่ได้ประมูลบ้าง รวมเป็นเงิน 69,552 บาทซึ่งจำเลยต้องรับผิด โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชดใช้หนี้จำนวนดังกล่าวหลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 69,552 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงหรือให้สัญญาผูกพันใด ๆเกี่ยวกับการเล่นแชร์กับโจทก์แต่อย่างใด จำนวนเงินตามฟ้องไม่เป็นความจริง จำเลยไม่ต้องรับผิด และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 58,352 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เล่นแชร์กับจำเลยรวม 3 วง แล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ ทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงต้องแยกออกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง แชร์ทั้งสามวงมีทุนทรัพย์ที่พิพาท 30,804 บาท 16,748 บาท และ 22,000 บาทตามลำดับ ซึ่งไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยฎีกาว่าโจทก์คำนวณเงินที่จำเลยค้างชำระในแชร์แต่ละวงไม่ถูกต้องเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…”
พิพากษายืน.