คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเป็นประเด็นเบื้องต้นขึ้นวินิจฉัยว่าเมื่อเอกสารที่โจทก์นำมาแสดงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจำนอง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเอกสารว่าจำเลยที่ 1 คือผู้รับจำนอง ส่วนจำเลยที่2 เป็นแต่เพียงตัวแทนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อกฎหมายนี้ จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฟ้องอุทธรณ์ และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงซื้อเรือนของจำเลยที่ ๑ เป็นเงินเชื่อ จึงได้เอาที่ดินจำนองค้ำประกันไว้ ในวันทำจำนอง จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ลงชื่อรับจำนองแทน หลังจากนั้นโจทก์ได้ชำระค่าบ้านแก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงให้จำเลยที่ ๒ ไปถอนจำนองแต่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมไป ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ได้รับจำนองโดยสุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นเบื้องต้นขึ้นวินิจฉัยว่า เมื่อเอกสารที่นำมาแสดงปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับจำนองแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเอกสารว่าจำเลยที่ ๑ คือผู้รับจำนอง ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นแต่เพียงตัวแทนนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนี้ จำเลยที่ ๒ มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฟ้องอุทธรณ์ และทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้กับจำเลยที่ ๒ เพื่อเป็นประกันเงินค่าซื้อเรือนซึ่งโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนามรับจำนองแทน โจทก์ได้ชำระเงินค่าซื้อเรือนให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๒ ผู้รับจำนองจึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนไถ่ถอนการจำนองให้แก่โจทก์ผู้จำนองฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share